วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วิวรณ์ 3:[2] เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

วิวรณ์ 3:[2] เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า "

บทเทศนาฟื้นฟู: จุดประกายไฟแห่งความเชื่อ ความศรัทธา (วิวรณ์ 3:2)


คำถามชวนคิด:

  • คุณรู้สึกอย่างไรกับสภาพฝ่ายวิญญาณของคุณในปัจจุบัน?
บทนำ:
               พี่น้องที่รักทั้งหลาย เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งเย้ายวนและความวุ่นวายต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราหลงลืมพระเจ้าและห่างไกลจากพระองค์โดยไม่รู้ตัว พระวจนะในวิวรณ์ 3:2 จึงเป็นเหมือนเสียงปลุกที่เตือนสติเราให้ตื่นขึ้นและกลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง
เนื้อหา:
  1. "เจ้าจงตื่นขึ้น": การตื่นจากความเฉยเมยทางวิญญาณ
                   พระเยซูตรัสว่า "เจ้าจงตื่นขึ้น" นี่ไม่ใช่การตื่นจากการหลับใหลทางกาย แต่เป็นการตื่นจากความเฉยเมยทางวิญญาณ การตื่นจากการหลงมัวเมาในโลก การตื่นจากการใช้ชีวิตที่ไร้จุดหมาย เราต้องสำรวจตนเองอย่างจริงจังว่า ไฟแห่งความเชื่อ ความศรัทธา ของเรายังลุกโชนอยู่หรือไม่ เรายังกระตือรือร้นที่จะ นมัสการ อธิษฐาน เรียนรู้พระวจนะ  และรับใช้พระเจ้าอยู่หรือเปล่า? หรือเราปล่อยให้ไฟนั้นค่อยๆ มอดลงจนเกือบดับสนิท?
  2. "จงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น": การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า(พระวิญญาณบริสุทธิ์)
    "ส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตาย" หมายถึงสิ่งดีงามที่พระเจ้าทรงปลูกฝังไว้ในชีวิตของเรา แต่กำลังอ่อนแอลงเพราะเราละเลย เมินเฉย  การเสริมกำลังให้ส่วนที่เหลืออยู่นี้ หมายถึงการกลับมาสร้างสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพระเจ้าอีกครั้ง ด้วยการ:
    • นมัสการ :  พระเยซูตรัสว่า "แต่เวลานั้นจะมาถึง และเดี๋ยวนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้ที่นมัสการอย่างแท้จริง จะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและด้วยความจริง" (ยอห์น 4:23-24) การนมัสการไม่ใช่เพียงแค่การร้องเพลงหรือการทำพิธีกรรมภายนอก แต่เป็นการเปิดใจและถวายจิตวิญญาณของเราแด่พระเจ้าด้วยความจริงใจและความเคารพ
    • อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ: การอธิษฐานเป็นการสื่อสาร เหมือนสายใยที่เชื่อมโยงเรากับพระบิดา เปรียบดั่งลมหายใจฝ่ายวิญญาณ  เป็นช่องทางที่เราจะระบายความในใจ ขอคำแนะนำ และรับพลังจากพระองค์
    • ศึกษาพระวจนะอย่างจริงจัง: พระวจนะเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ ช่วยให้เราเติบโต เข้มแข็ง และเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กับมารร้าย  เมื่อมีปัญหาในการดำเนินชีวิต(เอเฟซัส 6:17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ
       และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า ,  ฮีบรู 4:12 เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย )
    • ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียน: การมีส่วนร่วมในคริสตจักร การหนุนใจซึ่งกันและกัน ช่วยให้เราไม่โดดเดี่ยวในเส้นทางแห่งความเชื่อ
    • รับใช้พระเจ้าด้วยความรัก: การใช้ของประทานที่พระเจ้าประทานให้เรา เป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์และเป็นพระพรต่อผู้อื่น
  3. "เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า": การดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
                         พระเจ้าทรงปรารถนาให้เรามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ไม่ใช่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่เป็นชีวิตที่มุ่งมั่นที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นชีวิตที่สะท้อนถึงความรัก ความเมตตา ความยุติธรรม และความบริสุทธิ์ เราต้องละทิ้งบาป สิ่งชั่วร้าย และสิ่งที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า แล้วหันมาดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์

บทสรุป:

              พี่น้องที่รัก อย่าปล่อยให้ไฟแห่งความเชื่อ ความศรัทธา ของเรามอดดับลง จงตื่นขึ้น กลับใจ และฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า ขอให้พระวจนะในวิวรณ์ (3:2 เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า)  เป็นเครื่องเตือนใจเราให้ดำเนินชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ จนกว่าจะถึงวันที่เราจะได้พบกับพระองค์ในสวรรค์ อาเมน.


คำถามชวนคิด:

  • คุณรู้สึกอย่างไรกับสภาพฝ่ายวิญญาณของคุณในปัจจุบัน?

  • คุณจะทำอย่างไรเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า?

  • คุณจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้ามากยิ่งขึ้น?


หัวข้อ: การนมัสการ: เส้นทางสู่การฟื้นฟู

ข้อพระคัมภีร์อ้างอิง: ยอห์น 4:23-24, สดุดี 95:6, โรม 12:1

บทนำ:

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ในชีวิตประจำวันเราเผชิญกับความเหนื่อยล้า ความท้อแท้ และความว่างเปล่ามากมาย หลายครั้งเรารู้สึกเหมือนหลงทาง ไร้จุดหมาย และต้องการพลังใหม่เพื่อก้าวต่อไป วันนี้ผมอยากเชิญชวนพี่น้องทุกท่านมาร่วมกันสำรวจเส้นทางสู่การฟื้นฟูที่แท้จริง นั่นคือ "การนมัสการ"

เนื้อหา:

  1. การนมัสการที่แท้จริงคืออะไร? พระเยซูตรัสว่า "แต่เวลานั้นจะมาถึง และเดี๋ยวนี้ก็มาถึงแล้ว ที่ผู้ที่นมัสการอย่างแท้จริง จะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและด้วยความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยวิญญาณและด้วยความจริง" (ยอห์น 4:23-24) การนมัสการไม่ใช่เพียงแค่การร้องเพลงหรือการทำพิธีกรรมภายนอก แต่เป็นการเปิดใจและถวายจิตวิญญาณของเราแด่พระเจ้าด้วยความจริงใจและความเคารพ

  2. การนมัสการนำไปสู่การฟื้นฟูอย่างไร?

    • การนมัสการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า: เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราได้เชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดแห่งชีวิตและความรัก เรายอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ยิ่งใหญ่และทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา สิ่งนี้นำมาซึ่งสันติสุขและความมั่นคงภายในจิตใจ

    • การนมัสการฟื้นฟูพลังของเรา: "จงมาเถิด เรามากราบลงนมัสการและก้มกราบลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ผู้ทรงสร้างเรา" (สดุดี 95:6) การนมัสการช่วยเตือนเราถึงพระคุณและพระอานุภาพของพระเจ้า มันเป็นเหมือนการเติมพลังให้กับจิตวิญญาณของเรา ทำให้เรามีแรงที่จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิต

    • การนมัสการฟื้นฟูเป้าหมายของเรา: เมื่อเรานมัสการพระเจ้า เราได้มองเห็นภาพรวมที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง เราตระหนักถึงแผนการและพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตเรา สิ่งนี้ช่วยให้เรามีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนในชีวิต

  3. เราจะนมัสการพระเจ้าอย่างไรให้เกิดการฟื้นฟู?

    • นมัสการด้วยใจที่จริงใจ: อย่าทำเป็นพิธี จงเปิดใจและถวายสิ่งที่ดีที่สุดแด่พระเจ้า

    • นมัสการด้วยความถ่อมใจ: ยอมรับว่าเราเป็นเพียงมนุษย์ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา

    • นมัสการด้วยความขอบพระคุณ: จงระลึกถึงพระคุณและพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้เรา

    • นมัสการด้วยชีวิตของเรา: "ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต เป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า นี่แหละเป็นการนมัสการที่สมเหตุสมผลของท่านทั้งหลาย" (โรม 12:1) การนมัสการที่แท้จริงสะท้อนออกมาในชีวิตประจำวันของเรา ผ่านการกระทำ ความคิด และคำพูดของเรา

บทสรุป:

พี่น้องที่รัก การนมัสการไม่ใช่เพียงกิจกรรมทางศาสนา แต่เป็นเส้นทางสู่การฟื้นฟูที่แท้จริง เมื่อเรานมัสการพระเจ้าด้วยใจจริง เราจะได้สัมผัสกับพลังแห่งการฟื้นฟูในทุกด้านของชีวิต ขอให้เราทุกคนมุ่งมั่นที่จะนมัสการพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่เราจะได้เติบโตในความเชื่อและมีชีวิตที่เต็มล้นด้วยพระพรของพระองค์ อาเมน.

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

สุภาษิต 17:17 มิตรแท้ ยามทุกข์ยาก

 มิตรแท้ ยามทุกข์ยาก: บทเทศนาฟื้นฟูจาก สุภาษิต 17:17

(บทนำ)

          **ชีวิต**ของเราเปรียบเสมือนการ**เดิน**ทาง มี**ทั้ง**ช่วงเวลาที่**สดใส** และช่วงเวลาที่**มืดมน** มีทั้งความ**สุข** และความ**ทุกข์**ยาก **สิ่ง**หนึ่งที่ทำให้เราก้าว**ผ่าน**ช่วงเวลาที่ยาก**ลำบาก**ได้ นั่นคือ “**มิตรภาพ**”  สุภาษิต 17:17 กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “**มิตร**สหายย่อมรักกัน**ทุก**เวลา และ**พี่น้องเกิด**มาเพื่อ**ช่วย**กันยาม**ทุกข์ยาก**”  ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เป็นเหมือน**น้ำทิพย์ชโลมใจ** ย้ำเตือนถึง**คุณค่า**ของ**มิตรแท้** และความ**สำคัญ**ของการเป็น**พี่น้อง**กันในยาม**ทุกข์**ยาก

(เนื้อหา)

  • มิตรสหายย่อมรักกันทุกเวลา: มิตรภาพที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่การร่วมสุขร่วมทุกข์ในบางเวลา แต่มันคือความรัก ความผูกพัน ที่ยั่งยืนตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม มิตรแท้จะอยู่เคียงข้างเราเสมอ ทั้งในยามที่เรามีความสุข และยามที่เราเผชิญกับความทุกข์ยาก พวกเขาจะไม่ทอดทิ้งเรา ไม่หมางเมินเรา พวกเขาจะยินดีกับความสำเร็จของเรา และให้กำลังใจเราในยามที่เราล้มเหลว
  • พี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก: คำว่า “พี่น้อง” ในที่นี้อาจหมายถึงพี่น้องทางสายเลือด หรือพี่น้องร่วมความเชื่อ ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องเป็นความสัมพันธ์ที่พิเศษ เราเกิดมาเพื่อเป็นกำลังใจให้กันและกัน เพื่อช่วยเหลือกันในยามที่ต้องการ โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก พี่น้องจะเป็นเหมือนที่พักพิง เป็นเหมือนกำแพงป้องกันภัย เป็นเหมือนมือที่ยื่นมาช่วยพยุงเราให้ลุกขึ้น

(การนำไปประยุกต์ใช้)

  1. จงเป็นมิตรแท้ให้กับผู้อื่น: เราทุกคนสามารถเป็นมิตรแท้ให้กับใครสักคนได้ เริ่มต้นจากการเป็นผู้ฟังที่ดี ให้กำลังใจ ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการ อย่าทอดทิ้งเพื่อนในยามยากลำบาก จงรักและดูแลพวกเขาเสมอ
  2. จงเป็นพี่น้องที่ดี: หากเรามีพี่น้อง จงรักและดูแลพวกเขา ให้กำลังใจและช่วยเหลือกันในยามที่ต้องการ อย่าปล่อยให้ความขัดแย้งมาทำลายความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง จงให้อภัยกันและกัน และรักษาความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้
  3. จงวางใจในพระเจ้า: แม้ว่าเราจะมีมิตรแท้และพี่น้องที่ดี แต่สุดท้ายแล้ว พระเจ้าคือผู้ที่รักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข พระองค์ทรงเป็นมิตรแท้ของเรา พระองค์ทรงเป็นพี่น้องของเรา พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเราในยามทุกข์ยาก จงวางใจในพระองค์ และอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ทุกสถานะการณ์

(บทสรุป)

สุภาษิต 17:17 เตือนใจเราถึงคุณค่าของมิตรภาพและความสำคัญของการเป็นพี่น้องกันในยามทุกข์ยาก ขอให้เราทุกคนเป็นมิตรแท้ไม่แปรผันให้กับผู้อื่น เป็นพี่น้องที่ดีทุกกรณีของชีวิต และวางใจในพระเจ้า เพื่อที่เราจะสามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เอเฟซัส 1:17 'ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้า เอเฟซัส 1:18 'ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น

เอเฟซัส 1:17 'ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจ ที่ประกอบด้วยปัญญาและการสำแดง เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์ '

จุดประกายการรู้จักพระเจ้า : จากเอเฟซัส 1:17

บทนำ:

พี่น้องที่รัก วันนี้เรามาร่วมกันศึกษาพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 1 ข้อที่ 17 ข้อพระคัมภีร์ที่ทรงพลังซึ่งอัครสาวกเปาโลได้อธิษฐานเผื่อคริสตจักรเอเฟซัส และยังคงเป็นคำอธิษฐานที่ทรงพลังสำหรับเราในวันนี้ด้วยเช่นกัน

เนื้อหา:

1. ความปรารถนาของเปาโล (ข้อ 17a)

"'ข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอพระเจ้าของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราคือพระบิดาผู้ทรงพระสิริ..."
เปาโลเริ่มต้นด้วยการแสดงออกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เขามีต่อพี่น้องคริสเตียนในเอเฟซัส เขาไม่ได้อธิษฐานขอสิ่งของฝ่ายวัตถุหรือความสำเร็จทางโลก แต่เขาอธิษฐานขอสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ *"การรู้จักพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง"

2. ของประทานแห่งสวรรค์ (ข้อ 17b)

"...ทรงให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจ ที่ประกอบด้วยปัญญาและการสำแดง..."
เปาโลเข้าใจดีว่า การรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้ในเชิงสติปัญญา แต่ต้องมาจากการสำแดงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาจึงอธิษฐานขอสองสิ่งนี้คือ:
  • จิตใจที่ประกอบด้วยปัญญา: คือจิตใจที่เปิดรับ ถ่อมตน และแสวงหาความจริงของพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง (“ปัญญา” ปัญญาจากพระเจ้าไม่ใช่แค่ความรู้ แต่เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ เป็นความสามารถในนำความจริงของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน)

  • การสำแดง: คือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าให้เรารู้จักอย่างชัดเจน(พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดตาใจของเรา ให้มองเห็นพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเผชิญความทุกข์ยาก หรือความยินดี เราก็สามารถรับรู้ถึงการทรงสถิตอยู่ของพระองค์)

3. ผลลัพธ์ของการรู้จักพระเจ้า (ข้อ 17c)

"...เพื่อท่านจะรู้จักพระองค์"
เป้าหมายสูงสุดของการอธิษฐานของเปาโลไม่ใช่เพียงเพื่อให้คริสเตียนในเอเฟซัสมีสติปัญญาและการสำแดง แต่เพื่อที่พวกเขาจะได้ "รู้จักพระองค์" อย่างแท้จริง การรู้จักพระเจ้าในที่นี้ไม่ใช่เพียงการรู้จักข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระองค์(ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง) แต่เป็นการรู้จักอย่างลึกซึ้ง(หมายถึงการได้สัมผัสกับความรัก ความเมตตา ความยิ่งใหญ่ พระคุณ และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในชีวิตประจำวัน)

ผลของการรู้จักพระองค์ คืออะไร ? 

  • เราจะมีชีวิตที่เปี่ยมล้นด้วยสันติสุข เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่ง

  • เราจะมีกำลังที่จะเผชิญกับการทดลอง เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ

  • เราจะมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและการให้อภัย เพราะเรารู้ว่าพระองค์ทรงรักและให้อภัยเรา

การประยุกต์:

พี่น้องที่รัก คำอธิษฐานของเปาโลวันนั้น สำหรับเราในวันนี้ยังคงเป็นคำท้าทาย? สำหรับเราเช่นกัน

  • เรากำลังแสวงหาการรู้จักพระเจ้าอย่างจริงจังหรือไม่?

  • เรากำลังอธิษฐานขอสติปัญญาและการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า?

  • ชีวิตของเรากำลังสะท้อนให้เห็นถึงการรู้จักพระเจ้าที่ลึกซึ้งขึ้นหรือไม่?

บทสรุป:

ขอให้เราทุกคนเปิดใจรับพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานขอสติปัญญาและการสำแดงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา เปิดตาใจของเรา ให้เรารู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น และมุ่งมั่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้นทุกวัน เพื่อที่ชีวิตของเราจะจะถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ และเราจะเป็นพยานถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แก่โลกนี้

คำเชิญชวน:

หากวันนี้ท่านต้องการที่จะรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เปิดใจรับการทรงนำจากพระองค์ ขอเชิญชวนให้ท่านออกมาข้างหน้า เพื่อเราจะได้อธิษฐานเผื่อท่าน

ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่าน


****************

 

เอเฟซัส 1:18 'ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร '

ดวงตาที่เห็นความหวัง: จากเอเฟซัส 1:18

พี่น้องที่รักทั้งหลาย วันนี้เราจะมาศึกษาพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 1 ข้อที่ 18 ซึ่งอัครทูตเปาโลได้อธิษฐานเผื่อคริสตจักรเอเฟซัสว่า

"ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร "

ในโลกที่เต็มไปด้วยความมืดมน ความสิ้นหวัง และความไม่แน่นอน เปาโลได้ชี้ทางสว่างให้แก่เรา นั่นคือ "ตาใจที่สว่าง" ที่จะนำเราไปสู่ ความหวัง และ มรดกอันบริบูรณ์ ในพระคริสต์

1. ตาใจที่สว่างคืออะไร ?

  ตาใจที่สว่าง ไม่ใช่ตาภายนอกที่เรามองเห็นสิ่งต่างๆ แต่เป็น ดวงตาแห่งจิตวิญญาณ ที่มองเห็นแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า มองเห็นความรัก ความเมตตา และพระคุณอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ หลายครั้งที่เรามองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ เพราะถูกบดบังด้วยความกลัว ความกังวล และความบาป เปรียบเสมือนมีม่านบังตาใจเราไว้ ทำให้เรามองไม่เห็นความจริง

2. เราจะเปิดตาใจให้สว่างได้อย่างไร ?

  • ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์เปรียบเสมือนแสงสว่างส่องนำทาง (สดุดี 119:105 'พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์ ') การศึกษา ไตร่ตรอง และนำไปใช้ในชีวิต จะช่วยเปิดตาใจให้เราเห็นความจริง

  • ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือ ปลอบประโลม และสอนเราให้เข้าใจพระคัมภีร์ (ยอห์น 14:26 'แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว ')

  • ผ่านทางการอธิษฐาน การสนทนากับพระเจ้า ทูลขอให้พระองค์เปิดตาใจให้เรา มองเห็นความจริง และแผนการณ์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ (มัทธิว 7:7 '“จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน ')

3. ความหวังที่พระเจ้าประทานคืออะไร?

ไม่ใช่แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ในโลกนี้ แต่เป็นความหวังที่มั่นคงถาวร(ความหวังในการทรงเรียก:พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนด้วยจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เพราะความดีของเรา แต่เพราะพระคุณและความรักอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกเราให้เป็นบุตร เป็นทายาท และเป็นผู้รับมรดกของพระองค์ แม้ในยามที่เรารู้สึกสิ้นหวัง จงระลึกถึงความหวังในการทรงเรียก ที่พระเจ้าทรงมีแผนการอันดีสำหรับชีวิตของเราเสมอ) เป็นความหวังในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเป็นความหวังของเราแม้ในยามยากลำบาก เป็นพลังใจให้เราก้าวเดินต่อไป เป็นผู้ปลดปล่อยเราจากความบาปและความตาย

4. มรดกอันบริบูรณ์คืออะไร?

ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ เงินทอง หรือชื่อเสียงของโลกนี้  ในฐานะบุตรของพระเจ้า เรามีมรดกอันล้ำค่ารอคอยเราอยู่ นั่นคือชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ มรดกนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องแสวงหาด้วยความพยายามของตนเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ มรดกนี้ บริบูรณ์ หมายความว่าไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่มีวันสูญหาย และเกินกว่าที่เราจะขอหรือคิดได้ ชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์ เป็นการได้อยู่กับพระเจ้าตลอดไป เป็นชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวด ไม่มีความเศร้าโศก และไม่มีความตาย เป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข ความยินดี และสันติสุขอย่างสมบูรณ์ 


พี่น้องที่รัก ขอให้เราทุกคนแสวงหา ตาใจที่สว่าง เพื่อเราจะได้ รู้จักพระเจ้า อย่างลึกซึ้ง(หมายถึงการได้สัมผัสกับความรัก ความเมตตา ความยิ่งใหญ่ พระคุณ และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในชีวิตประจำวัน) รู้จักความหวัง ที่พระองค์ประทานแก่เรา และ รู้จักมรดกอันบริบูรณ์ ที่รอคอยเราอยู่


ขอให้ชีวิตของเราเป็นพยานถึงความรัก พระคุณอันเหลือล้นของพระองค์ ความหวังและมรดกอันรุ่งโรจน์นี้ เพื่อคนอื่นๆ จะได้มองเห็นแสงสว่างจากชีวิตของเรา และมาพบกับพระเจ้าผู้ประทานความหวังที่แท้จริง

อาเมน