อสย. 2:2 ในวาระสุดท้ายจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นที่สูงสุดของภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้อยู่เหนือบรรดาเนินเขา ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
ชัยชนะสุดท้ายของอิสราเอล (ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์)
วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
อนาคตอันรุ่งโรจน์ ของยูดาห์(ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์)
การพิพากษาที่หุบเขาเยโฮชาฟัท
ยอล. 3:9 จงประกาศเรื่องนี้ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย จงเตรียมการรบ จงเร้าใจนักรบทั้งหลาย ให้ทหารทุกคนเข้ามาใกล้ ให้เขาขึ้นมา
ยอล. 3:10 จงตีผาลไถนาของพวกเจ้าให้เป็นดาบ และตีขอลิดแขนงของเจ้าให้เป็นทวน ให้คนอ่อนแอพูดว่า “ข้าเป็นนักรบ”
ยอล. 3:11 จงรีบมาเถิด ประชาชาติทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เอ๋ย จงเรียกประชุมกันที่นั่น ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงนำนักรบของพระองค์ลงมา
ยอล. 3:12 ให้บรรดาประชาชาติรับการเร้าใจ และขึ้นมายังหุบเขาเยโฮชาฟัท เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษา ประชาชาติทั้งหมดที่อยู่ล้อมรอบ
ยอล. 3:13 จงเอาเคียวเกี่ยวเถิด เพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว จงเข้าไปย่ำสิ เพราะบ่อย่ำองุ่นเต็มแล้ว บ่อเก็บน้ำองุ่นล้นแล้ว เพราะว่าความอธรรมของพวกเขามีมากมาย
ยอล. 3:14 มวลชน มวลชน ในหุบเขาแห่งการตัดสินคดี เพราะวันแห่งพระยาห์เวห์ใกล้เข้ามาแล้ว ในหุบเขาแห่งการตัดสินคดี
ยอล. 3:15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็มืดไป ดวงดาวทั้งหลายก็อับแสง
ยอล. 3:16 พระยาห์เวห์เปล่งพระสิงหนาทจากศิโยน และเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์จากกรุงเยรูซาเล็ม ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกก็หวั่นไหว แต่พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่ลี้ภัยแก่ประชากรของพระองค์ เป็นที่กำบังแข็งแกร่งแก่คนอิสราเอล
อนาคตอันรุ่งโรจน์ ของยูดาห์(ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์)
ยอล. 3:17 ดังนั้น พวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ประทับในศิโยน ภูเขาบริสุทธิ์ของเรา เยรูซาเล็มจะเป็นเมืองบริสุทธิ์ และจะไม่มีคนต่างด้าวผ่านเมืองนั้นอีกเลย
ยอล. 3:18 และอยู่มาในวันนั้น จะมีน้ำองุ่นหยดออกจากภูเขาทั้งหลาย และมีน้ำนมไหลมาจากบรรดาเนินเขา และจะมีน้ำไหล จากห้วยทั้งหมดของยูดาห์ และจะมีน้ำพุออกจากพระนิเวศของพระยาห์เวห์ มารดหุบเขาชิทธีม
ยอล. 3:19 อียิปต์จะกลายเป็นที่ร้าง และเอโดมจะกลายเป็นถิ่นทุรกันดารร้าง เพราะความทารุณที่ทำต่อคนยูดาห์ และการทำให้โลหิตของผู้ไร้ความผิดตกในแผ่นดินของเขา
ยอล. 3:20 แต่ยูดาห์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ และเยรูซาเล็มจะตั้งอยู่ทุกชั่วอายุคน
ยอล. 3:21 เราจะยกโทษเรื่องโลหิตของพวกเขาที่เราไม่เคยยกโทษ เพราะพระยาห์เวห์สถิตในศิโยน
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
อธิษฐาน 3 คน
ปฐก. 20:17 อับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงรักษาอาบีเมเลค และมเหสีของพระองค์และทาสหญิงให้หาย สตรีเหล่านั้นก็คลอดบุตร
ปฐก. 20:18 เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์สตรีทั้งหมดในราชสำนักของอาบีเมเลค เพราะเรื่องซาราห์ภรรยาของอับราฮัม
ปฐก. 25:20 อิสอัคมีอายุ 40 ปีเมื่อท่านได้ภรรยา คือ เรเบคาห์บุตรหญิงของเบธูเอล คนอารัมชาวเมืองปัดดานอารัม น้องสาวของลาบันคนอารัม
ปฐก. 25:21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อภรรยาของท่านเพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าประทานตามคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์
ปฐก. 25:22 ทารกทั้งสองก็เบียดเสียดกันอยู่ในครรภ์ของนาง นางจึงพูดว่า “ถ้าทุกอย่างดีอยู่ ทำไมฉันเป็นอย่างนี้?” นางจึงไปทูลถามพระยาห์เวห์
ปฐก. 25:23 พระยาห์เวห์ตรัสกับนางว่า “ชนสองชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า และประชาชนสองพวกเกิดจากเจ้า จะต้องแยกกัน พวกหนึ่งจะแข็งแรงกว่าอีกพวกหนึ่ง พี่จะรับใช้น้อง”
ปฐก. 25:24 เมื่อกำหนดคลอดของนางมาถึงแล้วก็มีลูกแฝดอยู่ในครรภ์ของนาง
ปฐก. 25:25 คนแรกคลอดออกมาตัวแดงมีขนอยู่ทั่วตัว เขาจึงตั้งชื่อว่า เอซาว
ปฐก. 25:26 ภายหลังน้องของเขาก็คลอดออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้ เขาจึงตั้งชื่อว่ายาโคบ เมื่อนางคลอดลูกแฝดนั้นอิสอัคมีอายุได้ 60 ปี
1ซมอ. 1:2 เขามีภรรยาสองคน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตรแต่ฮันนาห์ไม่มี
1ซมอ. 1:4 ในวันที่เอลคานาห์ถวายสัตวบูชา ท่านให้ส่วนแบ่งแก่เปนินนาห์ภรรยาของท่าน และแก่พวกบุตรชายบุตรหญิงทุกคนของนาง
1ซมอ. 1:5 ท่านแบ่งให้ฮันนาห์สองส่วน เพราะท่านรักนางมาก แม้ว่าพระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์ของนางเสีย
1ซมอ. 1:6 เมียคู่กับนางก็ยั่วเย้านางอย่างรุนแรงทำให้นางระคายเคือง เพราะเหตุที่พระยาห์เวห์ทรงปิดครรภ์ของนาง
1ซมอ. 1:7 เหตุการณ์ก็เป็นอยู่ดังนี้ปีแล้วปีเล่า เมื่อนางขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ครั้งไหน เมียคู่ของนางก็เคยยั่วเย้านาง ดังนั้นนางฮันนาห์จึงร้องไห้ไม่รับประทานอาหาร
1ซมอ. 1:8 เอลคานาห์สามีของนางจึงถามนางว่า “ฮันนาห์ทำไมเธอร้องไห้? ทำไมเธอจึงไม่รับประทานอาหาร? ทำไมจิตใจของเธอจึงโศกเศร้า? สำหรับเธอ ฉันไม่ดีกว่าบุตรชายสิบคนหรือ?”
1ซมอ. 1:9 หลังจากที่ได้รับประทานอาหารและดื่มที่เมืองชิโลห์แล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น เอลีปุโรหิตนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหารของพระยาห์เวห์
1ซมอ. 1:10 นางขมขื่นใจมากจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์และร้องไห้อย่างหนัก
1ซมอ. 1:11 นางบนไว้ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ และไม่ทรงลืมผู้รับใช้ของพระองค์ แต่จะประทานบุตรชายแก่ผู้รับใช้ของพระองค์สักคน แล้วข้าพระองค์จะถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย”
1ซมอ. 1:20 และต่อมาเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และนางให้ชื่อเด็กนั้นว่าซามูเอล เพราะนางกล่าวว่า “ดิฉันทูลขอมาจากพระยาห์เวห์”
1ซมอ. 1:21 เอลคานาห์สามีและทุกคนในครอบครัวของเขาจะขึ้นไปถวายสัตวบูชาประจำปีแด่พระยาห์เวห์ และแก้บนของเขา
1ซมอ. 1:22 แต่ฮันนาห์ไม่ได้ขึ้นไปด้วย เพราะนางบอกสามีว่า “ฉันจะไม่ไปจนกว่าเด็กคนนี้หย่านม แล้วฉันจะพาเขาขึ้นไป เพื่อเขาจะได้ปรากฏตัวเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ และอยู่ที่นั่นตลอดไป”
1ซมอ. 1:23 เอลคานาห์สามีบอกนางว่า “จงทำตามที่เธอเห็นว่าดีเถิด รออยู่จนให้เขาหย่านม ขอเพียงให้พระดำรัสของพระยาห์เวห์สำเร็จเถิด” นางนั้นก็คอยอยู่และให้บุตรกินนมของเธอ จนนางให้เขาหย่านม
1ซมอ. 1:24 และเมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปพร้อมกับวัวผู้อายุสามปีหนึ่งตัว แป้ง 10 กิโลกรัมและเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง และนางก็นำเขามาที่พระนิเวศของพระยาห์เวห์ที่เมืองชิโลห์ และเด็กนั้นก็ยังเล็กอยู่
1ซมอ. 1:25 แล้วพวกเขาก็ฆ่าวัวผู้ตัวนั้นและนำเด็กมาหาเอลี
1ซมอ. 1:26 นางก็กล่าวว่า “เจ้านายของดิฉันมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ท่านเจ้าข้า ดิฉันเองคือผู้หญิงที่เคยยืนอยู่ที่นี่ต่อหน้าท่าน และทูลวิงวอนต่อพระยาห์เวห์
1ซมอ. 1:27 ดิฉันทูลวิงวอนขอเด็กคนนี้ และพระยาห์เวห์ประทานตามคำทูลขอของดิฉันตามที่ได้ทูลวิงวอนต่อพระองค์
1ซมอ. 1:28 เพราะฉะนั้นดิฉันเองถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาถูกถวายแด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา” และเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น
1ซมอ. 2:1 นางฮันนาห์อธิษฐานว่า “จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระยาห์เวห์ ในพระยาห์เวห์ กำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าหัวเราะพวกศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายินดีในความรอดของพระองค์
1ซมอ. 2:21 และพระยาห์เวห์ทรงเยี่ยมเยียนฮันนาห์ และนางก็ตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชายสามหญิงสอง ส่วนกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2567
พระวจนะ การเผยพระวจนะ และลงมือทำ (พลังแห่งการเผยพระวจนะ)
เพื่อให้คริสเตียนเข้าใจถึงพลังแห่งพระวจนะของพระเจ้า และ การเผยพระวจนะเพื่อให้คริสเตียนเห็นความสำคัญของการสะสมพระวจนะของพระเจ้าในชีวิต เพื่อให้คริสเตียนกล้าที่จะประกาศพระวจนะของพระเจ้า และ การเผยพระวจนะ
พระวจนะของพระเจ้านำชีวิต : ในเอเสเคียล 37:1-10 พระเจ้าทรงพาเอเสเคียลไปยังหุบเขากระดูกแห้ง ซึ่งเป็นภาพเปรียบเทียบถึงความสิ้นหวัง แต่พระเจ้าทรงใช้เอเสเคียลเป็นกระบอกเสียงในการเผยพระวจนะ พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำชีวิตมาสู่สิ่งที่ตายไปแล้วได้ เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าสามารถนำชีวิตใหม่มาสู่จิตวิญญาณที่ตายแล้ว ธุรกิจฟื้นฟูอย่างอัศจรรย์มาสู่ะุรกิจที่วิกฤต นำความหวังมาสู่ผู้ที่สิ้นหวัง และนำการเยียวยารักษามาสู่ผู้ที่บาดเจ็บเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้การเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า : เอเสเคียลเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่ลังเลใจแม้ว่าสิ่งที่พระเจ้าสั่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกัน การที่เรามีชีวิตที่เต็มล้นด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เราต้องเต็มใจที่จะเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แม้ว่าบางครั้งเราอาจไม่เข้าใจ แต่เมื่อเราเชื่อฟัง ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะทำงานผ่านเราอย่างน่าอัศจรรย์การประกาศพระวจนะของพระเจ้า : พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครสั่งภูเขา นี้ว่า ‘จงลอยลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัย แต่เชื่อว่า จะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามนั้นจริงๆ” (มก. 11:23) คำพูดของเรามีพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราพูดพระวจนะของพระเจ้าด้วยความเชื่อ ขอให้เรากล้าที่จะประกาศพระวจนะของพระเจ้าให้กับผู้คน เพราะเราไม่รู้ว่าพระวจนะนั้นจะสัมผัสชีวิตของพวกเขาอย่างไร
ให้เผยพระวจนะให้ตนเอง ให้เผยพระวจนะให้คนในครอบครัว 1 คน
คุณเคยประสบกับพลังแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพลัง การเผยพระวจนะในชีวิตของคุณหรือไม่? อย่างไร?คุณจะนำบทเรียนนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้อย่างไร? คุณจะทำอย่างไรเพื่อที่จะกล้าประกาศพระวจนะของพระเจ้า และ การเผยพระวจนะ ให้กับผู้อื่นมากขึ้น?
เพื่อให้ศิษยาภิบาลตระหนักถึงพลังอำนาจของพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้ศิษยาภิบาลมีความมั่นใจและกล้าหาญในการประกาศพระวจนะ เพื่อให้ศิษยาภิบาลเข้าใจถึงบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำให้พระวจนะเกิดผล
เริ่มต้นด้วยการอธิษฐานร่วมกัน ขอการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ร้องเพลงนมัสการที่เน้นย้ำถึงพลังอำนาจของพระวจนะของพระเจ้า ถามคำถามนำเข้าสู่บทเรียน เช่น ท่านคิดว่าพระวจนะของพระเจ้ามีพลังอำนาจอย่างไร? ท่านเคยมีประสบการณ์ที่พระวจนะของพระเจ้าเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านหรือไม่?
โยบ 23:12: โยบให้ความสำคัญกับพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าอาหารของตน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพลังอำนาจของพระวจนะสดด. 119:89: เน้นย้ำถึงความคงทนถาวรของพระวจนะ พระวจนะของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงอสค. 37:1-10: เรื่องราวของหุบเขากระดูกแห้งพระเจ้าทรงเรียกเอเสเคียลให้เผยพระวจนะ พลังแห่งพระวจนะทำให้กระดูกแห้งกลับมามีชีวิต บทเรียนสำหรับศิษยาภิบาล: พระเจ้าทรงเรียกให้เราเผยพระวจนะ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็ตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้ให้ชีวิต
กดว. 11:29: โมเสสปรารถนาให้ประชากรของพระเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะทุกคนมก. 11:23: พระเยซูทรงสอนเกี่ยวกับความเชื่อและฤทธิ์อำนาจในการอธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าและความเชื่อทำงานร่วมกัน
แบ่งปันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พระคัมภีร์ตอนใดที่ท้าทายท่านมากที่สุด ท่านจะนำหลักการเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการเป็นศิษยาภิบาลอย่างไร?
อภิปรายร่วมกันทั้งกลุ่ม
ให้ศิษยาภิบาลแต่ละท่านตั้งปณิธานส่วนตัวในการศึกษาและประกาศพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลแต่ละท่าน ขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้พวกเขากล้าหาญในการประกาศพระวจนะ
ให้ศิษยาภิบาลเตรียมคำเทศนาสั้นๆ โดยใช้เรื่องราวจากเอเสเคียล 37:1-10 ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจของพระวจนะของพระเจ้า