- นายใย คุ้มกลาง ครั้งที่1 และ ครั้งที่ 2 และ พิเศษ 1 พิเศษ 2 พิเศษ 3 และ 2021-02-07,09 ครอบครัว
- นางสุธีรา คุ้มกลาง ครั้งที่1 และ ครั้งที่ 2
- นายศิโยน คุ้มกลาง ครั้งที่1
- นายตั๋ง ดาเนียล ครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2
- ครูหวัง สมบัติ ครั้งที่ 1
- คุณสมบัติ (ครูหวัง) ครั้งที่ 1
- เวีย ลูกพระเจ้า ครั้งที่ 1
- บีม ครูหวัง สมบัติ ครั้งที่ 1
- คัตเตอร์ ครั้งที่ 1
- ยาเบส ครั้งที่ 1
- ติ๋ว
พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
2ซมอ. 7:28 และบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ตรัสสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
1พกษ. 17:24 และหญิงนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า “ตอนนี้ดิฉันทราบแล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระยาห์เวห์จากปากของท่านเป็นความจริง”
สดด. 119:43 ขออย่าทรงนำพระวจนะแห่งความจริงไปจากปากข้าพระองค์อย่างสิ้นเชิง เพราะข้าพระองค์ฝากความหวังไว้กับกฎหมายของพระองค์
สดด. 119:160 สาระสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์ คือความจริง และกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์
มธ. 13:17 เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน
ยน. 17:17 ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
ยก. 1:18 เมื่อตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดด้วยพระวจนะแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นผลิตผลแรกของสิ่งต่างๆ ที่ที่พระองค์ทรงสร้าง
ยอห์น 8:32 THSV11 และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท”
2ทธ. 3:16 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม
เผยพระวจนะ
2พศด. 20:20 เขาทั้งหลายลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปยังถิ่นทุรกันดารเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัททรงยืนและตรัสว่า “ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย แล้วท่านจะได้รับความมั่นคง จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แล้วท่านจะได้รับความสำเร็จ”
1 โครินธ์ 14:1 THSV11 จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ
อสร. 6:14 และพวกผู้ใหญ่ของพวกยิวก็ได้ทำการก่อสร้างให้ก้าวหน้าไป ตามการเผยพระวจนะของฮักกัยผู้เผยพระวจนะ และเศคาริยาห์บุตรอิดโด พวกเขาสร้างเสร็จตามพระบัญชาแห่งพระเจ้าของอิสราเอล และตามกฤษฎีกาของไซรัสและดาริอัสและอารทาเซอร์ซีสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
(การกลับไปบ้านเกิด สร้างเยรูซาเล็ม และพระวิหารขึ้นใหม่ เกิดขึ้นและสำเร็จ นั้นมีการเผยพระวจนะมาก่อน ดังนี้ อสย.45:1-3 ( เรียกไซรัส ไปจัดการบาบิโลน) และ ยรม.25:11-12(ไปเป็นเชลย), ยรม.29:10-14(นำกลับ) และ ดาเนียลอธิษฐาน ดนล.9:) ซึ่งสมัยเอสรา สร้างไม่สำเร็จ เพราะมีการต่อต้านแล้วก็หยุดไม่สร้างต่อ(อสร.3:8-10 และ อสร.4)
อิสยาห์ 45:1 THSV11 พระยาห์เวห์ตรัสกับผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ คือไซรัส ผู้ซึ่งเราทำให้มือขวาของเขาแข็งแกร่ง เพื่อปราบบรรดาประชาชาติที่อยู่ข้างหน้าเขา และปลดเจียระบาด จากบั้นเอวของพระราชาทั้งหลาย เพื่อเปิดประตูที่อยู่ข้างหน้าเขา และประตูจะไม่ถูกปิดอีก
อิสยาห์ 45:2 THSV11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราเองจะไปข้างหน้าเจ้า และทำให้ภูเขา เป็นที่ราบ เราจะพังประตูทองสัมฤทธิ์ให้เป็นชิ้นๆ และตัดลูกกรงเหล็กให้ขาด
อิสยาห์ 45:3 THSV11 เราจะให้ทรัพย์สมบัติในที่มืดแก่เจ้า และให้ขุมทรัพย์ในที่ลี้ลับ เพื่อเจ้าจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ผู้เรียกเจ้าตามชื่อของเจ้า
เยเรมีย์ 25:11 THSV11 แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะถูกทิ้งร้างและเป็นที่ร้างเปล่า และบรรดาประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์แห่งบาบิโลนอยู่ 70 ปี
เยเรมีย์ 25:12 THSV11 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เมื่อครบ 70 ปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและชนชาตินั้น คือแผ่นดินของคนเคลเดียเพราะความผิดบาปของเขาทั้งหลาย เราจะทำให้แผ่นดินนั้นถูกทิ้งร้างอยู่เป็นนิตย์
เยเรมีย์ 29:10 THSV11 “เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เมื่อครบ 70 ปี แห่งบาบิโลนแล้ว เราจะเยี่ยมเยียนพวกเจ้าและจะให้คำสัญญาของเราสำเร็จเพื่อเจ้าและจะนำเจ้ากลับมาสู่สถานที่นี้’
เยเรมีย์ 29:11 THSV11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า
เยเรมีย์ 29:12 THSV11 แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า
เยเรมีย์ 29:13 THSV11 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า’
เยเรมีย์ 29:14 THSV11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เราจะให้เจ้าพบเรา และเราจะให้เจ้ากลับสู่สภาพดีและรวบรวมเจ้ามาจากบรรดาประชาชาติและจากทุกที่ที่เราขับไล่เจ้าให้ไปอยู่นั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ และเราจะนำเจ้ากลับมายังที่ซึ่งเราเนรเทศเจ้าให้จากไปนั้น’
ดาเนียล 9:1 THSV11 ในปีที่หนึ่งแห่งรัชกาลดาริอัส โอรสกษัตริย์อาหสุเอรัส คนมีเดียโดยกำเนิด ผู้ได้เป็นกษัตริย์เหนืออาณาจักรของคนเคลเดีย
https://bible.com/bible/174/dan.9.1.THSV11
ดาเนียล 9:27 THSV11 ท่านจะทำพันธสัญญาอย่างมั่นคงกับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์ ท่านจะทำให้การถวายสัตวบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ หยุดไปครึ่งสัปดาห์ สิ่งน่าสะอิดสะเอียนที่ทำให้ร้างเปล่าตั้งอยู่บนหัวมุมของแท่นบูชา จนความอวสานที่ได้กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้ทำให้เกิดความวิบัตินั้น”
https://bible.com/bible/174/dan.9.27.THSV11
เอสรา 3:8 THSV11 ในปีที่สองซึ่งเขามาถึงพระนิเวศของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม ในเดือนที่สอง เศรุบบาเบล บุตรเชอัลทิเอลและเยชูอา บุตรโยซาดัก ได้ทำการตั้งต้นพร้อมพี่น้องของเขาที่เหลืออยู่ คือ พวกปุโรหิตและชนเลวีและคนทั้งปวง ซึ่งมาจากการเป็นเชลยยังเยรูซาเล็ม เขาได้เลือกตั้งคนเลวี ตั้งแต่อายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อให้ดูแลการงานของพระนิเวศของพระยาห์เวห์
เอสรา 3:9 THSV11 และเยชูอาได้ลุกขึ้น กับบุตรและพี่น้องของท่าน คือขัดมีเอล และบุตรของเขา คือพงศ์พันธุ์โฮดาวิยาห์ ร่วมกันควบคุมคนงานในพระนิเวศของพระเจ้า คือบุตรเฮนาดัด พร้อมกับบุตรและญาติของเขาผู้เป็นคนเลวี
เอสรา 3:10 THSV11 และเมื่อช่างก่อสร้างได้วางรากของพระวิหารแห่งพระยาห์เวห์ พวกปุโรหิตก็แต่งเครื่องยศออกมาพร้อมกับแตรและคนเลวี พงศ์พันธุ์ของอาสาฟ พร้อมกับฉาบ ถวายสรรเสริญพระยาห์เวห์ตามพระราชกำหนดของดาวิด กษัตริย์แห่งอิสราเอล
เอสรา 4:1 THSV11 เมื่อศัตรูของยูดาห์และเบนยามินได้ยินว่า พวกที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย กำลังสร้างพระวิหารถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล
เอสรา 4:2 THSV11 พวกเขาได้เข้ามาหาเศรุบบาเบลและหัวหน้าของตระกูล และพูดกับพวกเขาว่า “ให้เราสร้างด้วยกันกับท่าน เพราะว่าพวกเรานมัสการพระเจ้าของท่านอย่างท่านทั้งหลาย และเราได้ถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ ตั้งแต่วันที่เอสารฮัดโดนกษัตริย์แห่งอัสซีเรียได้นำเรามาที่นี่”
เอสรา 4:3 THSV11 แต่เศรุบบาเบล เยชูอา และคนอื่นๆ ที่เป็นหัวหน้าของตระกูลในอิสราเอล พูดกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านไม่มีส่วนกับเราในการสร้างพระนิเวศถวายแด่พระเจ้าของเรา แต่พวกเราเท่านั้นจะสร้างถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตามที่กษัตริย์ไซรัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซียทรงบัญชาไว้แก่เรา”
อสร. 4:4 แล้วประชาชนแห่งแผ่นดินนั้นได้ทำให้ประชาชนยูดาห์ท้อถอย และทำให้พวกเขากลัวที่จะสร้าง
อสร. 4:5 และได้จ้างที่ปรึกษาไว้ขัดขวางเขาไม่ให้บรรลุจุดประสงค์ของเขา ตลอดรัชกาลของไซรัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย แม้ถึงรัชกาลของดาริอัส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
อสร. 4:6 และในรัชกาลอาหสุเอรัสต้นรัชกาลของพระองค์ พวกเขาได้เขียนฟ้องชาวยูดาห์ และเยรูซาเล็ม
อสร. 4:7 และในสมัยของอารทาเซอร์ซีส บิชลาม มิทเรดาท และทาเบเอล และผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ของเขาได้เขียนไปทูลอารทาเซอร์ซีส กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย จดหมายนั้นได้เขียนขึ้นเป็นภาษาอาราเมคและอธิบายด้วยภาษาอาราเมค
อสร. 4:8 เรฮูมผู้บังคับบัญชา และชิมชัยอาลักษณ์ได้เขียนหนังสือปรักปรำเยรูซาเล็ม ถวายกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสดังต่อไปนี้
อสร. 4:9 แล้วเรฮูมผู้บังคับบัญชา ชิมชัยอาลักษณ์ กับผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ของท่านคือพวกผู้พิพากษา พวกผู้ตรวจราชการ ข้าราชการ ชาวเปอร์เซีย คนเอเรก ชาวบาบิโลน ชาวสุสา คือคนเอลาม
อสร. 4:10 และคนของประชาชาติอื่นๆ ผู้ซึ่งโอสนัปปาร์ เจ้านายผู้ใหญ่ได้ส่งมาให้อาศัยอยู่ในเมืองของสะมาเรีย และในส่วนอื่นๆ ของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างตะวันตก
อสร. 4:11 และนี่เป็นสำเนาจดหมายที่พวกเขาส่งไปถึงพระองค์ “กราบทูลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีส จากข้าราชการของพระองค์ คือคนของมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก
อสร. 4:12 ขอพระองค์ทรงทราบว่า พวกยิวซึ่งมาจากพระองค์มาหาข้าพระองค์นั้นได้ไปยังเยรูซาเล็ม พวกเขากำลังก่อสร้างเมืองที่มักกบฏและชั่วร้ายขึ้นใหม่ เขากำลังจะทำกำแพงเมืองเสร็จและซ่อมแซมรากฐาน
อสร. 4:13 บัดนี้ขอกษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่และกำแพงเมืองเสร็จแล้ว เขาจะไม่ส่งบรรณาการ ค่าธรรมเนียม หรือภาษี และเงินรายได้ของหลวงก็จะขาดไป
อสร. 4:14 เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายกตัญญูและภักดีต่อราชบัลลังก์ จึงไม่สมควรที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะมองดูการเสื่อมเกียรติของกษัตริย์ ฉะนั้นข้าพระองค์ทั้งหลายจึงส่งมากราบทูลแก่กษัตริย์
อสร. 4:15 เพื่อจะได้ทรงค้นดูในหนังสือบันทึกของบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์จะพบในหนังสือบันทึกว่า เมืองนี้เป็นเมืองมักกบฏ เป็นอันตรายต่อบรรดากษัตริย์และมณฑลทั้งหลายและได้มีการปลุกปั่นขึ้นจากสมัยก่อน ดังนั้นเมืองนี้จึงถูกทิ้งร้าง
อสร. 4:16 ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบทูลให้กษัตริย์ทรงทราบว่า ถ้าเมืองนี้ได้สร้างใหม่เสร็จและกำแพงเมืองก็สำเร็จแล้ว พระองค์จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในมณฑลฟากแม่น้ำข้างตะวันตก”
อสร. 4:17 กษัตริย์ทรงส่งพระราชสารตอบไปว่า “ถึงเรฮูม ผู้บังคับบัญชาและชิมชัยอาลักษณ์ และผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ของเขาที่อาศัยในสะมาเรีย และในส่วนอื่นของมณฑลทางฟากแม่น้ำข้างตะวันตก ขอคำนับมา
อสร. 4:18 บัดนี้จดหมายที่ท่านส่งไปยังเราได้ให้อ่านและแปลต่อหน้าเรา
อสร. 4:19 และเราได้ออกคำสั่ง และได้ค้นดูแล้ว พบว่าเมืองนี้ แต่ก่อนได้ลุกขึ้นต่อสู้กษัตริย์ และมีการกบฏและการปลุกปั่นเกิดขึ้นในเมืองนี้
อสร. 4:20 เคยมีกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจได้ครองเยรูซาเล็ม เป็นผู้ทรงปกครองมณฑลทั้งสิ้นฟากแม่น้ำข้างตะวันตกซึ่งเขาถวายบรรณาการ ค่าธรรมเนียม และภาษีให้
อสร. 4:21 เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกคำสั่งว่า ให้คนเหล่านี้หยุดและไม่ต้องสร้างเมืองนี้ใหม่ จนกว่าเราจะออกกฤษฎีกา
อสร. 4:22 และระวังอย่าหย่อนในเรื่องนี้ ทำไมจะให้ความเสื่อมเสียเกิดขึ้นเป็นภยันตรายต่อกษัตริย์”
อสร. 4:23 แล้วเมื่อได้อ่านสำเนาราชสารของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสต่อหน้าเรฮูมและชิมชัยอาลักษณ์ และผู้ร่วมงานคนอื่นๆ ของท่าน พวกเขาจึงรีบไปหายิวที่เยรูซาเล็ม และใช้กำลังและอำนาจทำให้เขาหยุด
อสร. 4:24 งานพระนิเวศแห่งพระเจ้า ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็มจึงหยุดจนถึงปีที่สองแห่งรัชกาลดาริอัสกษัตริย์แห่งเปอร์เซีย
รม. 12:6 และเราทุกคนมีของประทานต่างกัน ตามพระคุณที่ประทานแก่เรา คือถ้าของประทานเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ
1คร. 13:8 ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป
1คร. 14:1 จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ
1คร. 14:22 ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญสำหรับพวกที่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้น ไม่ใช่สำหรับพวกที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับพวกที่เชื่อแล้ว
1คร. 14:39 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงขวนขวายการเผยพระวจนะ ส่วนการพูดภาษาแปลกๆ นั้นนั้นก็อย่าห้ามเลย
ปฐมกาล 3:15 THSV11 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
สดด. 110:1 พระยาห์เวห์ตรัสกับกษัตริย์ของข้าพเจ้าว่า “จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า”
สดด. 110:2 พระยาห์เวห์ทรงยื่นคทาแห่งการปกครองของท่านจากศิโยน ท่านจงครอบครองท่ามกลางศัตรูของท่านเถิด
สดด. 110:3 ชนชาติของท่านจะเต็มใจถวายตัว ในวันแห่งอำนาจของท่านในเครื่องแต่งกายบริสุทธิ์ จากครรภ์ของอรุโณทัย น้ำค้างแห่งวัยหนุ่มเป็นของท่าน
สดด. 110:4 พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ “เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ ตามอย่างเมลคีเซเดค”
สดด. 110:5 องค์เจ้านายประทับที่ขวามือของท่าน พระองค์ทรงบดขยี้บรรดาพระราชา ในวันแห่งความกริ้วของพระองค์
สดด. 110:6 พระองค์จะทรงพิพากษาท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ให้ซากศพเต็มไปหมด พระองค์จะทรงบดขยี้ผู้เป็นประมุข ทั่วแผ่นดินโลกอันกว้างขวาง
สดด. 110:7 กษัตริย์จะทรงดื่มจากลำธารข้างทาง สุดท้ายจะทรงมีชัยชนะ
อิสยาห์ 7:14 THSV11 เพราะฉะนั้น องค์เจ้านายจะประทานหมายสำคัญด้วยพระองค์เอง นี่แน่ะ หญิงสาว คนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกนามของเขาว่า อิมมานูเอล
อสย. 52:13 นี่แน่ะ ผู้รับใช้ของเราจะทำอย่างมีปัญญา เขาจะสูงเด่นและเป็นที่เทิดทูน และเและเขาจะสูงยิ่งนัก (ความยำเกรงพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของสติปัญญา)
อสย. 52:14 ด้วยคนจำนวนมากตกตะลึงเพราะท่าน (หน้าตาของท่านเสียโฉมมากเหลือที่จะเหมือนคน และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนมนุษย์)
อสย. 52:15 ท่านก็จะทำให้ประชาชาติมากมายตกตะลึง บรรดาพระราชาจะปิดพระโอษฐ์เพราะท่าน เพราะเขาทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่ยังไม่มีใครบอกพวกเขา และพวกเขาจะเข้าใจสิ่งซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ยิน
อสย. 53:1 ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราป่าวประกาศ? พระกรของพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ผู้ใด?
อสย. 53:2 เพราะท่านเจริญขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างต้นอ่อน และเหมือนรากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง ท่านไม่มีความงามหรือความสง่าที่จะให้พวกเรามองดู และไม่มีรูปลักษณ์ซึ่งจะให้เราพึงปรารถนา
อสย. 53:3 ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก และเป็นดั่งผู้ซึ่งคนทั้งหลายหันหน้าหนี ท่านถูกดูหมิ่น และเราไม่ได้นับถือท่าน
อสย. 53:4 แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
อสย. 53:5 แต่ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา
อสย. 53:6 เราทุกคนหลงทางไปเหมือนแกะ ต่างคนต่างหันไปตามทางของตนเอง และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาป ของเราทุกคนลงบนตัวท่าน
อสย. 53:7 ท่านถูกบีบบังคับและถูกข่มใจ ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เป็นใบ้ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันเช่นใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยเช่นนั้น
อสย. 53:8 ท่านถูกนำตัวไปด้วยการบังคับและการตัดสิน และคนในยุคสมัยของท่านนั้น มีใครเล่าที่คิดว่า ที่ท่านถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็นนั้น ที่ท่านถูกตีนั้นเพราะการทรยศของชนชาติของข้าพเจ้า
อสย. 53:9 และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนอธรรม และเขาจัดท่านไว้กับเศรษฐีในความตายของท่าน แม้ว่าท่านไม่ได้ทำการทารุณใดๆ และไม่มีการหลอกลวงใดๆ ในปากของท่าน
อสย. 53:10 แต่พระยาห์เวห์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่านเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ท่านจะเห็นพงศ์พันธุ์ของท่าน ท่านจะยืดวันเวลาของท่าน พระประสงค์ของพระยาห์เวห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน
อสย. 53:11 ภายหลังความลำบากของตัวเขา เขาจะเห็นและจะพึงพอใจ โดยความรู้ของเขา ผู้รับใช้ชอบธรรมของเรา จะทำให้คนจำนวนมากเป็นคนชอบธรรม และเขาจะแบกความบาปผิดทั้งหลายของพวกเขา
ลูกา 1:30 THSV11 แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่นางว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน
ลูกา 1:31 THSV11 นี่แน่ะ เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู
มธ. 27:28 แล้วเปลื้องฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์
มธ. 27:29 เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมบนพระเศียรของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อมาให้พระองค์ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ขวา และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระองค์เยาะเย้ยว่า “ข้าแต่กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ”
มธ. 27:30 แล้วก็ถ่มน้ำลายรด และเอาไม้อ้อนั้นตีพระเศียรพระองค์
มธ. 27:31 เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว พวกเขาก็ถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออก และเอาฉลองพระองค์ของพระองค์มาสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อตรึงที่กางเขน
มธ. 27:32 เมื่อออกไปแล้วก็พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงเกณฑ์ให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป
มธ. 27:33 เมื่อมาถึงที่หนึ่งซึ่งเรียกว่ากลโกธา แปลว่าที่กะโหลกศีรษะ
มธ. 27:34 เขาทั้งหลายเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาถวายพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชิมแล้วก็ไม่เสวย
มธ. 27:35 เมื่อตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว พวกเขาก็เอาฉลองพระองค์มาจับฉลากแบ่งกัน
มธ. 27:36 แล้วก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น
มธ. 27:37 และพวกเขาเอาข้อความที่เป็นข้อหาลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือพระเศียร ซึ่งอ่านว่า “คนนี้คือเยซู กษัตริย์ของชนชาติยิว”
มธ. 27:38 เวลานั้น เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง
มธ. 27:39 คนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมา พูดหมิ่นประมาทพระองค์ สั่นศีรษะเยาะเย้ย
มธ. 27:40 ว่า “เจ้าเป็นคนที่จะทำลายพระวิหารแล้วสร้างขึ้นภายในสามวันนี่นา จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด”
มธ. 27:41 พวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า
มธ. 27:42 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อบ้าง
มธ. 27:43 เขาวางใจพระเจ้า ถ้าพระองค์พอพระทัยตัวเขาก็ขอให้ทรงช่วยเขาเดี๋ยวนี้เถิด เพราะเขากล่าวว่าเขาเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
มธ. 27:44 แม้แต่โจรสองคนที่ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ก็ด่าว่าพระองค์ด้วย
มธ. 27:45 แล้วก็เกิดความมืดมัวทั่วแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันจนถึงบ่ายสามโมง
มธ. 27:46 พอเวลาประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?”
มธ. 27:47 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “คนนี้เรียกเอลียาห์”
มธ. 27:48 ทันใดนั้นคนหนึ่งในพวกเขาก็วิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์เสวย
มธ. 27:49 แต่พวกที่เหลือร้องว่า “อย่าเพิ่งเลย ให้เราคอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาหรือไม่”
มธ. 27:50 และพระเยซูทรงร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์
มธ. 28:1 ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันอาทิตย์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์
มธ. 28:2 ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์และกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งอยู่บนหินนั้น
มธ. 28:3 รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ
มธ. 28:4 พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย
มธ. 28:5 ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่าพวกท่านมาหาพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขน
มธ. 28:6 พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ตรัสไว้นั้น จงมาดูที่ซึ่งเขาวางพระองค์ไว้นั้น
มธ. 28:7 แล้วจงรีบไปบอกสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น นี่แน่ะเราบอกพวกท่านแล้ว”
มธ. 28:8 หญิงเหล่านั้นก็รีบไปจากอุโมงค์ ด้วยความกลัวและความยินดีเป็นอย่างยิ่ง และวิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์
มธ. 28:9 นี่แน่ะ พระเยซูทรงพบพวกเขาและตรัสทักทาย หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทและกราบนมัสการพระองค์
มธ. 28:10 พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น”
2ปต. 3:8 แต่ท่านที่รักทั้งหลาย อย่ามองข้ามความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว
2ปต. 3:9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่
2ปต. 3:10 แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมย และในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไปด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น
2ปต. 3:11 เมื่อเห็นแล้วว่าทุกสิ่งจะต้องสลายไปเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหนในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และที่ยำเกรงพระเจ้า
2ปต. 3:12 จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกเผาจนสลายไป และโลกธาตุก็จะสลายไปด้วยไฟ
2ปต. 3:13 แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่
วว. 3:1 “จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของคริสตจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า ‘พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาวเจ็ดดวงนั้น ตรัสดังนี้ว่า “เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว
วว. 3:2 เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า
วว. 3:3 เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน
วว. 3:4 แต่เจ้าก็ยังมีสองสามคนในเมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนเป็นมลทิน และพวกเขาจะดำเนินไปกับเราในชุดสีขาว เพราะว่าเขาเป็นคนที่คู่ควร
วว. 3:5 เช่นเดียวกัน คนที่ชนะก็จะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อของเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อของเขาเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์
วว. 3:6 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” ’
ความเชื่อ
มีใครบ้างอยาก ร่ำรวย มั่งมี และมั่งคั่ง เพื่อถวายเกียรตืพระเจ้า
ยน. 11:40 พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”
อฟ. 1:19 และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์
อฟ. 1:20 ซึ่งทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และทรงให้ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน
มธ. 9:29 แล้วพระองค์ทรงแตะต้องนัยน์ตาของเขา ตรัสว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด”
มธ. 6:30 และถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ พวกมีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ?
มธ. 9:2 นี่แน่ะ เขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว”
มธ. 14:31 พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ทันที แล้วตรัสว่า “ช่างมีความเชื่อน้อย ท่านสงสัยทำไม?”
มธ. 15:28 แล้วพระเยซูตรัสตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของท่านก็มาก ให้เป็นไปตามความต้องการของท่านเถิด” แล้วลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่เวลานั้น
มธ. 17:20 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”
มธ. 21:21 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าเพียงพวกท่านมีความเชื่อและไม่ได้สงสัย ท่านไม่เพียงจะสามารถทำแบบเดียวกับที่เราทำกับต้นมะเดื่อ แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงลอยขึ้นและเคลื่อนไปลงทะเล’ ก็จะเป็นไปตามนั้น
ลก. 8:25 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?” เขาก็กลัวและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครนะ ถึงสั่งลมกับน้ำได้ และมันก็เชื่อฟังท่าน?”
ลก. 9:41 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อและวิปลาส เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดกลั้นกับพวกท่านนานเพียงไร? จงไปพาบุตรของท่านมาที่นี่”
สภษ. 22:11 คนที่บริสุทธิ์ใจและวาจามีเมตตาคุณ จะได้พระราชาเป็นมิตร
สภษ. 22:12 พระเนตรของพระยาห์เวห์เฝ้ารักษาความรู้ แต่พระองค์ทรงทำลายถ้อยคำของคนไร้ความเชื่อเสีย
ฮบ. 11:1 ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น
ฮบ. 11:2 โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า
ฮบ. 11:3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
ฮบ. 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์
ยก. 2:14 พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ?
ยก. 2:20 คนโฉดเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่าความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นไร้ผลหรือ?
ยก. 2:21 อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ถวายอิสอัคบุตรของท่านบนแท่นบูชา จึงถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ?
ยก. 2:22 ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขา และความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น
ยก. 2:23 และพระคัมภีร์ก็สำเร็จตามที่กล่าวไว้ว่า“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าเขาชอบธรรม และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า”
ยก. 2:24 พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว
ยก. 2:25 เช่นเดียวกัน ราหับหญิงโสเภณีก็ถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ? เมื่อนางได้ต้อนรับพวกผู้สอดแนม และส่งเขาทั้งหลายไปโดยทางอื่น
ยก. 2:26 กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น
รม. 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”
กท. 3:11 เป็นที่แน่ชัดว่า ไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อ”
รม. 10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์
แต่ละวัน ชีวิตท่าน ให้อะไร? ประกาศกับท่าน (กำลังเชื่ออะไร?)
อธิษฐาน
การได้ยิน หรือ ฟังอะไร? ในแต่ละวัน (พระวจนะ การนมัสการ การอธิษฐาน……) ทำให้ชีวิตท่านเกิดความเชื่อแบบไหน? ผลของชีวิตจะเป็นแบบไหน?
ยน. 8:44 พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
มธ. 5:37 จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว
ยน. 17:17 ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
ยน. 10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์
ยน. 4:23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
ยน. 4:24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
คำเผยพระวจนะ ที่ได้รับ คือ อะไร? เชื่อหรือยัง? แล้ว ผลรับเป็นแบบไหน?
1คร. 2:9 ดังที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น