โปรเจคเตอร์(Projector)
ท่านคงเคยได้ยิน เรื่องการช่วยเหลือคนได้รับอุบัติเหตุ แล้วผู้ช่วยเหลือไม่เป็น(ไม่ถูกต้องแล้วทำให้ผู้บาดเจ็บพิการตลอดชีวิต น่ะครับ การใช้เครื่องโปรเจคเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะคล้ายๆ กัน ครับ คือถ้าไม่ช่วยเขาก็ตายไปน่าเสียดายชีวิต(ถ้าใช้ไม่เป็นก็เสียดายเงินจ่ายมากโดยใช่เหตุ อาจต้องซื้อใหม่) ฉะนั้น ถ้าช่วยไม่เป็นก็ไปแจ้งคนที่เขาช่วยเป็นให้มาช่วยปลอดภัยกว่า (ให้คนทำเป็นมาทำครับ) แต่ถ้าท่านอ่านและทำความเข้าใจก็ไม่ยากเลยครับ เหมือนเขาอบรมผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยอุบัติเหตุ นั้นแหละครับง่ายๆ
อายุการใช้งานหลอดโปรเจคเตอร์(Projector) อาจ 2,000-3,000 ชั่วโมง แล้วแต่ยี่ห้อ และรุ่น
1.ถ้าใช้อย่างถูกต้อง(เป็นผู้อารักขาที่ดี) 2,000 ชั่วโมง=ถ้าใช้ครั้งละ(วันละ) 7 ชั่วโมง ใช้ได้=2,000/7= 285.71 ครั้ง ใช้สัปดาห์ละ1ครั้ง1ปีมี 52 สัปดาห์ ฉะนั้นใช้ได้ 5.50 ปี
ถ้าค่าหลอดๆละ 9,500 บาท ฉะนั้นจ่ายค่าหลอดปีละ 9,500/5.50=ปีละ 1,727.27 บาท(ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องใช้แค่ 2 ปี หมายความว่าต้องจ่ายค่าหลอดปีละ 4,750 บาท จ่ายมากเพราะใช้ไม่ถูกต้อง)
2.ถ้าใช้อย่างถูกต้อง(เป็นผู้อารักขาที่ดี) 3,000 ชั่วโมง=ถ้าใช้ครั้งละ(วันละ) 7 ชั่วโมง ใช้ได้=3,000/7= 428.57 ครั้ง ใช้สัปดาห์ละ1ครั้ง1ปีมี52สัปดาห์ ฉะนั้นใช้ได้ 8.24 ปี
ถ้าค่าหลอดๆละ 9,500 บาท ฉะนั้นจ่ายค่าหลอดปีละ9,500/8.24=ปีละ 1,152.91 บาท(ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้องใช้แค่ 2 ปี หมายความว่าต้องจ่ายค่าหลอดปีละ 4,750 บาท จ่ายมากเพราะใช้ไม่ถูกต้อง)
แล้วใช้อย่างถูกต้อง หรือเป็น ผู้อารักขาที่ดี ใช้เป็น(ไม่เพียงแต่ใช้ได้) คืออะไร?
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนครับว่า การทำงานของโปรเจคเตอร์เป็นอย่างไร เราได้ประโยชน์อะไร
เราใช้แสง(จากพลังงานไฟฟ้า)เพื่อฉายสื่อต่างๆขึ้นจอ แต่แสงที่เราใช้มีความร้อนด้วย
ต้นเหตุของการเสื่อมของหลอดโปรเจคเตอร์ คือ ความร้อน และการกระชากของกระแสไฟฟ้า เพราะฉะนั้นถ้าท่านทราบตรงนี้แล้วก็ไม่ยากที่จะจัดการให้ใช้อย่างถูกต้องน่ะครับ
1.การติดตั้งเครื่องโปรเจคเตอร์(Projector) ในที่มั่นคงแข็งแรง ที่สำคัญที่สุดคือการระบายอากาศออกจากตัวเครื่องต้องดีมากๆ ไม่มีอะไรกีดขวางช่องทางระบายอากาศเป็นอันขาด หลอดจึงใช้ได้นาน
2.การเปิด/ปิดที่ถูกต้อง
(ระบบปลั๊กต้องแน่นดีมีมาตรฐาน เพราะถ้าหลวมจะทำให้เกิดการกระชากของกระแสไฟฟ้า หลอดอาจขาดได้ในพริบตาเดียว ถ้ามีระบบปลั๊กที่มีสวิทเปิด-ปิดเช็คไฟฟ้า ก่อนเสียบปลั๊กเข้ามาถึงตัวเครื่องด้วยก็ยิ่งดี โดยให้ปิดสวิทตัดไฟฟ้าก่อนแล้วเสียบปลั๊กให้แน่นทั้งหมด และต่อสายสัญญาณทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน ก่อนเปิดสวิทให้ไฟฟ้าเข้าระบบเครื่อง และถ้าระบบปลั๊กแยกต่างหาก ไม่ยุ่งหรือไม่ไกล้กับปลั๊กอื่นยิ่งดีเพราะเวลาถอดปลั๊กอื่นอาจมีผลกระทบให้เกิดการกระชากของกระแสไฟฟ้าได้)
2.1.ผู้ใช้งานจะต้องต่อสายสัญญาณต่างๆ เช่น RGB, Video หรือ Audio ระหว่างคอมพิวเตอร์กับ Projector ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเสียบปลั๊กเปิดเครื่อง เพื่อความปลอดภัยของ Projector และคอมพิวเตอร์ของคุณ เนื่องจากการต่อสายสัญญาณต่างๆ หลังจากที่เปิดเครื่องแล้วอาจจะทำให้ Port หรือจุดต่อสัญญาณของ Projector และ Computer ของคุณเสียหายได้ถ้าหาก มีแรงดันไฟฟ้า ระหว่างกราวด์ของคอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์ต่างกัน นอกจากนั้นอาจทำให้ภาพที่ฉายออกจอโปรเจคเตอร์ไม่ถูกต้องหรือไม่ออกเนื่องจากสัญญาณที่ส่งจากคอมพิวเตอร์ ไม่ Sync กับโปรเจคเตอร์ซึ่งจะต้องเสียเวลาสำหรับปรับแต่งใหม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและลดขั้นตอนการใช้งานจึงแนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าวทุกครั้งนะครับ
2.2.ในกรณีมีการพักหรือเบรคระหว่างการประชุม การปิดเครื่อง Projector เพื่อประหยัดอายุหลอดเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากในระหว่างการเปิดเครื่องจะต้องใช้ไฟฟ้าแรงดันสูงกว่าในขณะที่หลอดสว่างเต็มที่ดังนั้นการเปิดเครื่องระหว่างที่หลอดยังร้อนอยู่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่หลอดภาพเสื่อมก่อนเวลาอันสมควร ซึ่งตามสถิติพบว่าโปรเจคเตอร์ ที่ใช้งานต่อเนื่องจะมีอายุหลอดมากกว่าโปรเจคเตอร์ ที่มีระยะเวลาการใช้แต่ละครั้งน้อย แต่มีการปิด-เปิดบ่อย ดังนั้นในกรณีที่ต้องการพักการประชุมเป็นเวลาสั้นๆ เช่น Coffee Break แนะนำให้กดปุ่ม Mute บนรีโมทเพื่อปิดภาพชั่วคราวแทนการปิดเครื่อง (ห้ามปิด-เปิดบ่อยๆ)
2.3.หลังจบการประชุมจะต้องปิดเครื่องโดยกดปุ่ม Power บนตัวเครื่องหรือบนรีโมทเท่านั้น ห้ามปิด Main Switch หรือยก Breaker หน้าห้องประชุมเด็ดขาดครับ เพราะการทำดังกล่าวจะทำให้อายุการใช้งานหลอดภาพลดลงมากโดยที่ท่านไม่รู้ตัว และก่อนถอดสาย Power ออกเพื่อเก็บเครื่องลงกระเป๋าจะต้องแน่ใจว่าพัดลมระบายความร้อนหยุดหมุนแล้วเท่านั้น ซึ่งโปรเจคเตอร์รุ่นปัจจุบันจะใช้เวลาระบายความร้อนหลอดหรือที่เรียกว่า Cool down น้อยลงมากโดยที่ไม่ทำให้ท่านเสียเวลารอเหมือนโปรเจคเตอร์ในยุคแรกๆ (หลังปิดหลอดฉาย ในขณะที่พัดลมยังคงหมุนเพื่อระบายความร้อน ควรรอ 4-5นาที ก่อนปิดสวิทตัดไฟฟ้า ถอดปลั๊ก ยก Breaker หน้าห้องประชุม)
3.การเชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์
คุณสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ ของคุณไปยัง Projector เพื่อแสดงการนำเสนอบนหน้าจอขนาดใหญ่
คำแนะนำข้างล่างนี้จะอธิบายวิธี Connection กับ Projector โดยการเสียบสาย เคเบิลของ Projector กับวิดีโอ Port บน Computer ของคุณ นี่เป็นวิธีทั่วไปในการ Connection กับ Projector
คุณยังสามารถเชื่อมต่อกับโปรเจคเตอร์บางประเภท (เรียกว่า โปรเจคเตอร์เครือข่าย) ผ่านเครือข่าย ซึ่งช่วยให้คุณแสดงงานนำเสนอผ่านเครือข่าย ถ้าคุณไม่ได้อยู่ในห้องหรือแม้แต่ในอาคารเดียวกันกับโปรเจคเตอร์ เมื่อต้องการดูว่าโปรเจคเตอร์ของคุณมีความสามารถด้านเครือข่ายนี้หรือไม่ ให้ตรวจสอบข้อมูลที่มาพร้อมกับโปรเจคเตอร์หรือติดต่อผู้ผลิต
ดาวน์โหลดและติดตั้งปลั๊กอิน Windows Media Player
ต้องการเชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์
- ตรวจสอบว่าโปรเจคเตอร์ เปิดอยู่ แล้วเสียบสาย Cable ของโปรเจคเตอร์เข้ากับวิดีโอพอร์ตบน Computer ของคุณ
หมายเหตุ
โปรเจคเตอร์ใช้สายเคเบิล VGA หรือ DVI คุณต้องเสียบสาย Cable เข้ากับวิดีโอพอร์ต ที่ตรงกันบนคอมพิวเตอร์ของคุณ แม้ว่าคอมพิวเตอร์ส่วนหนึ่งจะมีวิดีโอพอร์ต ทั้งสองแบบ แต่แล็ปท็อปส่วนใหญ่จะมีเพียงแบบเดียว Projector บางรุ่นสามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Port USB บนคอมพิวเตอร์ ของคุณ
ด้วยสายเคเบิล USB
พอร์ต VGA และ DVI
- Credit : http://projector7.com/LG-BD430.html
- เปิด ‘แผงควบคุม’ ด้วยการคลิกปุ่ม เริ่ม แล้วคลิก แผงควบคุม
- ในกล่องค้นหา ให้พิมพ์ โปรเจคเตอร์ แล้วคลิก เชื่อมต่อไปยังโปรเจคเตอร์
(เมื่อต้องการใช้แป้นพิมพ์ลัดแทน ‘แผงควบคุม’ ให้กดแป้นโลโก้ของ Windows P)
- เลือกวิธีที่คุณต้องการแสดงเดสก์ท็อปดังต่อไปนี้
- เฉพาะคอมพิวเตอร์เท่านั้น (ซึ่งจะแสดงเฉพาะเดสก์ท็อปของคุณบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ)
- ทำสำเนา (ซึ่งจะแสดงเดสก์ท็อปของคุณทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และโปรเจคเตอร์)
- ขยาย (ซึ่งจะขยายเดสก์ท็อปของคุณจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณไปยังโปรเจคเตอร์)
- เฉพาะโปรเจคเตอร์เท่านั้น (ซึ่งจะแสดงเฉพาะเดสก์ท็อปของคุณบนโปรเจคเตอร์)
ตัวเลือกสี่รายการสำหรับวิธีการแสดงเดสก์ท็อปของคุณ
คุณสามารถใช้ขั้นตอนเดียวกันนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของคุณเข้ากับจอภาพแทนการใช้โปรเจคเตอร์
การดูแลรักษาเครื่องเสียง
การดูแลบำรุงรักษา และการใช้ ชุดเครื่องส่งฯของสถานีวิทยุกระจายเสียง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น