ศคย. 1:7 เมื่อวันที่ 24 เดือนที่ 11 ซึ่งเป็นเดือนเชบัท ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลดาริอัส พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ บุตรเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรอิดโด และเศคาริยาห์กล่าวว่า
ศคย. 1:8 “คืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้มองดู และนี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งขี่ม้าสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวที่ลานหุบเขา มีม้าสีแดง สีแสด และสีขาวอยู่ข้างหลังคนนั้น
(
นิมิต: ข้อพระคัมภีร์นี้บรรยายถึงนิมิตที่ศาสดาเศคาริยาห์เห็นในยามค่ำคืนบุคคลลึกลับ: มีบุคคลหนึ่งขี่ม้าสีแดงปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวในลานหุบเขาม้าสีต่างๆ: มีม้าสีแดง สีแสด และสีขาว อยู่ข้างหลังบุคคลลึกลับนี้
การตีความในเชิงสัญลักษณ์: องค์ประกอบต่างๆ ในนิมิตนี้ เช่น ม้าสีต่างๆ และต้นน้ำมันเขียว มักถูกตีความในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งอาจหมายถึงสิ่งต่างๆ ในบริบทของหนังสือเศคาริยาห์และประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลพระเจ้าทรงกำลังเคลื่อนไหว: บุคคลลึกลับขี่ม้าสีแดง อาจเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าหรือทูตสวรรค์ ที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือและปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล )ความหวังและการฟื้นฟู: การปรากฏตัวของม้าสีต่างๆ อาจสื่อถึงความหวังและการฟื้นฟูสำหรับชนชาติอิสราเอล หลังจากเผชิญกับความยากลำบาก
ศคย. 1:9 แล้วข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘นายเจ้าข้า เหล่านี้คืออะไร?’ ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าบอกว่า ‘เราจะสำแดงให้เจ้าทราบว่า เหล่านี้คืออะไร’
(
ความสัมพันธ์ที่พระเจ้าทรงสื่อสาร: พระเจ้าทรงสื่อสารกับมนุษย์ผ่านทางทูตสวรรค์เพื่อเปิดเผยนิมิตและแผนการของพระองค์ความถ่อมใจของผู้เผยพระวจนะ: เศคาริยาห์แสดงความถ่อมใจและยอมรับว่าเขาไม่เข้าใจนิมิตที่เห็น จึงขอการอธิบายจากทูตสวรรค์ )ความสำคัญของการตีความ: นิมิตจากพระเจ้ามักจะต้องมีการตีความเพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริง ซึ่งทูตสวรรค์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการตีความ
ศคย. 1:10 ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวจึงบอกว่า ‘เหล่านี้คือผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ไปเที่ยวตรวจแผ่นดินโลก’
(
นิมิตของเศคาริยาห์: ข้อความนี้อยู่ในบริบทของนิมิตที่พระเจ้าประทานแก่เศคาริยาห์ ผู้เผยพระวจนะชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียว: บุคคลนี้เป็นทูตสวรรค์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ อธิบายนิมิตให้เศคาริยาห์เข้าใจผู้ที่พระยาห์เวห์ทรงใช้: “เหล่านี้” น่าจะหมายถึงผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมให้เป็นผู้นำ อาจเป็น เศรุบบาเบล ผู้นำทางการเมือง และ โยชูวา มหาปุโรหิต ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในช่วงเวลาที่เศคาริยาห์เผยพระวจนะเที่ยวตรวจแผ่นดินโลก: เป็นภาพพจน์ที่สื่อถึง การดูแล เฝ้าระวัง และนำแผ่นดินของพระเจ้า
บริบทของหนังสือเศคาริยาห์: ช่วยให้เข้าใจข้อความนี้ได้ดีขึ้น ในขณะนั้น ชาวอิสราเอลเพิ่งกลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลน พวกเขากำลังสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ แต่ก็เผชิญกับอุปสรรคมากมาย นิมิตนี้จึงเป็นการหนุนใจให้พวกเขามั่นใจในแผนงานของพระเจ้า )
ศคย. 1:11 และเขาเหล่านั้นได้ตอบทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ผู้ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียวว่า ‘เราได้ตรวจแผ่นดินโลกแล้ว นี่แน่ะ ทั้งโลกก็สงบ’
(
หนังสือศักดิ์ดาเรียห์เป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาเดิม บอกเล่าเรื่องราวของผู้เผยพระวจนะศักดิ์ดาเรียห์ที่ได้รับนิมิตจากพระเจ้าในช่วงเวลาที่ชาวยิวกำลังสร้างพระวิหารแห่งที่สองในเยรูซาเล็ม ในบทที่ 1 ศักดิ์ดาเรียห์ได้เห็นนิมิตของคนขี่ม้าอยู่ท่ามกลางต้นไม้ เขาถามว่าพวกเขาคือใคร ทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ได้อธิบายว่าพวกเขาเป็นผู้ที่ถูกส่งไปตรวจตราทั่วแผ่นดินโลก
มีทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ "ยืนอยู่ท่ามกลางต้นน้ำมันเขียว" ภาพนี้สื่อถึงความสงบสุขและความอุดมสมบูรณ์ ต้นน้ำมันเขียวอาจเป็นสัญลักษณ์ของอิสราเอลที่ได้รับการฟื้นฟูทูตสวรรค์รายงานว่า "ได้ตรวจแผ่นดินโลกแล้ว" แสดงให้เห็นถึงการดูแลและการควบคุมของพระเจ้าต่อโลกและเหตุการณ์ต่างๆรายงานของทูตสวรรค์คือ "ทั้งโลกก็สงบ" นี่อาจเป็นความสงบภายนอกที่หลอกลวง เพราะประชาชนยังคงเผชิญกับความท้าทายในการสร้างพระวิหาร อีกนัยหนึ่ง อาจหมายถึงช่วงเวลาแห่งสันติภาพทางการเมือง
พระเจ้าทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ พระองค์ไม่ได้ละทิ้งประชากรของพระองค์แม้ในช่วงเวลาแห่งความสงบภายนอก ก็ยังคงมีความจำเป็นที่ผู้คนจะต้องซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ต่อไปนิมิตนี้เป็นกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังสร้างพระวิหาร โดยเตือนพวกเขาว่าพระเจ้ากำลังเฝ้ามองและทรงควบคุมสถานการณ์
บริบท: ข้อพระคัมภีร์นี้มาจากหนังสือเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้รับนิมิตจากพระเจ้าเกี่ยวกับอนาคตของอิสราเอลนิมิต: เศคาริยาห์เห็นนิมิตของทูตสวรรค์ขี่ม้าสีแดงอยู่ท่ามกลางต้นไมร์เติล (บางฉบับแปลว่า ต้นน้ำมันเขียว) และมีทูตสวรรค์อื่นๆอยู่ด้วยการลาดตระเวน: ทูตสวรรค์เหล่านี้เพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนทั่วโลก และรายงานต่อทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์ว่า "ทั้งโลกก็สงบ"ความหมายโดยนัย: ความสงบสุขที่กล่าวถึงในที่นี้อาจหมายถึงความสงบภายนอกเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่าผู้คนยังคงห่างเหินจากพระเจ้า
ความแตกต่างระหว่างมุมมองของมนุษย์และมุมมองของพระเจ้า: สิ่งที่ดูเหมือนสงบสุขสำหรับมนุษย์ อาจไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นความสำคัญของการเฝ้าระวังฝ่ายวิญญาณ: เช่นเดียวกับทูตสวรรค์ที่ลาดตระเวน คริสเตียนควรตื่นตัวและเฝ้าระวังฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ )ความหวังสำหรับอนาคต: แม้ว่าโลกจะดูวุ่นวาย แต่พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง และพระองค์ทรงมีแผนการสำหรับอนาคต
ศคย. 1:12 แล้วทูตสวรรค์ของพระยาห์เวห์กล่าวว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ อีกนานเท่าใด พระองค์จะไม่ทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็มและเมืองอื่นๆ แห่งยูดาห์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงกริ้วมา 70 ปีแล้วพระเจ้าข้า?’
(
ความเมตตาของพระเจ้า: แม้ว่าชาวอิสราเอลจะไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยังทรงห่วงใยพวกเขาและทรงปรารถนาที่จะแสดงความเมตตาต่อพวกเขาการไถ่ถอนของพระเจ้า: 70 ปีแห่งการเป็นเชลยเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาของพระเจ้าต่อบาปของพวกเขา แต่พระองค์ก็ยังทรงสัญญาว่าจะไถ่พวกเขากลับมาความสัตย์ซื่อของพระเจ้า: พระเจ้าทรงรักษาสัญญาที่พระองค์มีต่อประชากรของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ซื่อสัตย์ก็ตาม
พระเจ้าทรงเมตตาและรักษาสัญญา: แม้ในยามที่เราทำบาป พระเจ้าก็ยังทรงรักเราและปรารถนาที่จะยกโทษให้เราพระเจ้าทรงควบคุม: พระองค์ทรงกำหนดเวลาและฤดูกาล และพระองค์ทรงทำงานเพื่อทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะคงอยู่ตลอดไป: เราสามารถวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าได้ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อเสมอ
)
ศคย. 1:13 และพระยาห์เวห์ทรงตอบทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้า เป็นถ้อยคำที่แสดงความเมตตาและชูใจ
(
บริบท : เพื่อให้เข้าใจความหมายของข้อนี้ได้อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องอ่านข้อนี้ควบคู่กับบริบทของทั้งบทและทั้งเล่ม เศคาริยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะที่ได้รับนิมิตและข่าวสารจากพระเจ้าเพื่อหนุนใจชาวอิสราเอลที่กำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง"ถ้อยคำที่แสดงความเมตตาและชูใจ" : ข้อความนี้บ่งบอกว่า ถึงแม้ชาวอิสราเอลจะทำบาปและไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่พระองค์ยังคงทรงรักและห่วงใยพวกเขา พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ความหวังและกำลังใจแก่พวกเขาบทบาทของทูตสวรรค์ : ทูตสวรรค์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ในที่นี้ ทูตสวรรค์น่าจะทูลขอความเมตตาจากพระเจ้าแทนชาวอิสราเอล
)
ศคย. 1:14 ทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงร้องประกาศว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า เรามีความหวงแหนกรุงเยรูซาเล็ม คือกรุงศิโยนเป็นอย่างยิ่ง
( ศคย. 1:14 กล่าวว่า "ทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงร้องประกาศว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า เรามีความหวงแหนกรุงเยรูซาเล็ม คือกรุงศิโยน เป็นอย่างยิ่ง"
"ทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนาอยู่กับข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า" : ส่วนนี้ระบุว่าผู้พูดคือทูตสวรรค์ที่กำลังสื่อสารกับศาสดาพยากรณ์เศคาริยาห์"จงร้องประกาศว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า" : นี่เป็นคำสั่งให้เศคาริยาห์ประกาศข้อความต่อไปนี้ ซึ่งมาจากพระยาห์เวห์"เรามีความหวงแหนกรุงเยรูซาเล็ม คือกรุงศิโยนเป็นอย่างยิ่ง" : นี่คือข้อความหลัก พระยาห์เวห์ทรงประกาศความหวงแหนอย่างลึกซึ้งต่อกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และภูเขาศิโยน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระวิหาร
พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาหาศาสดาพยากรณ์เศคาริยาห์ พระเจ้าทรงมีข่าวสารสำคัญที่ต้องการให้ประกาศ ข่าวสารนั้นคือ พระเจ้าทรง "หวงแหน" กรุงเยรูซาเล็มและกรุงศิโยน
ความหวงแหน: คำนี้แสดงถึงความรักที่ลึกซึ้ง ความห่วงใย และความปรารถนาที่จะปกป้องกรุงเยรูซาเล็มและกรุงศิโยน: เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นศูนย์กลางของศาสนาและเป็นสัญลักษณ์ของการสถิตอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ข้อพระคัมภีร์นี้เน้นย้ำถึงความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ และความตั้งใจของพระองค์ที่จะสถิตอยู่กับพวกเขา แม้ในยามที่พวกเขาหันเหไปจากพระองค์
ศคย. 1:15 เราโกรธประชาชาติมากที่อยู่อย่างสบายๆ เพราะเมื่อเราโกรธแต่น้อย เขาทำให้เหตุการณ์ยากลำบากมากขึ้น
(
บริบททางประวัติศาสตร์ : ศคย. เขียนขึ้นในช่วงเวลาที่ประชาชนของพระเจ้าเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ข้อนี้สะท้อนถึงความขัดแย้งและความท้าทายที่พวกเขาเผชิญธรรมชาติของพระเจ้า : พระคัมภีร์แสดงให้เห็นทั้งความรักและความยุติธรรมของพระเจ้า พระองค์ทรงเมตตา แต่ก็ทรงพิโรธต่อความบาปและการไม่เชื่อฟังความรับผิดชอบของมนุษย์ : แม้ว่าพระเจ้าจะทรงฤทธิ์อำนาจ แต่พระองค์ก็ทรงมอบอิสรภาพให้มนุษย์ในการเลือก การกระทำของมนุษย์จึงส่งผลต่อสถานการณ์ของตนเอง
ความยุติธรรมของพระเจ้า: พระเจ้าทรงห่วงใยความอยุติธรรมและความชั่วร้ายในโลก และพระองค์ทรงโกรธเมื่อประชาชาติต่างๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความทุกข์ทรมานของผู้อื่นการกลับใจ: พระเจ้าทรงปรารถนาให้ประชาชาติต่างๆ กลับใจจากการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเขาและหันมาหาพระองค์ผลของการไม่เชื่อฟัง: หากประชาชาติต่างๆ ยังคงไม่เชื่อฟัง พระเจ้า พวกเขาจะต้องเผชิญกับการพิพากษาของพระองค์
ศคย. 1:16 เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จึงตรัสว่า เราจะกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความกรุณา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า เราจะต้องให้มีการสร้างนิเวศของเราขึ้นไว้ในนั้นและขึงเชือกวัดไว้เหนือกรุงเยรูซาเล็ม
(
การกลับมาของพระเจ้า: ข้อนี้เน้นย้ำถึงคำสัญญาของพระเจ้าที่จะกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม แม้ว่าเมืองนี้จะถูกทำลายและประชาชนถูกเนรเทศออกไป พระเจ้าก็ยังคงทรงรักและห่วงใยพวกเขาอยู่ความกรุณา: พระเจ้าไม่ได้กลับมาด้วยความโกรธ แต่ด้วย "ความกรุณา" นี่แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ที่มีต่อประชาชนของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อฟังก็ตามการฟื้นฟู: การสร้าง "นิเวศ" และ "ขึงเชือกวัด" เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูและการสร้างใหม่ พระเจ้าสัญญาว่าจะไม่เพียงแค่กลับมา แต่จะทำให้กรุงเยรูซาเล็มเจ prosperous และยิ่งใหญ่อีกครั้ง
พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ: พระองค์ทรงรักษาสัญญาของพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ยากลำบากความรักของพระเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด: พระองค์ทรงพร้อมที่จะให้อภัยและฟื้นฟูผู้ที่กลับใจใหม่พระเจ้าทรงกำลังสร้าง: พระองค์กำลังทำงานในชีวิตของเรา แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นก็ตาม
การกลับมาของพระยาห์เวห์: ข้อพระคัมภีร์นี้เน้นย้ำถึงคำมั่นสัญญาของพระเจ้าในการกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งแสดงถึงการฟื้นฟูและการสถิตอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์อีกครั้งความกรุณาของพระเจ้า: การกลับมาของพระเจ้าไม่ได้เกิดจากข้อดีของประชาชน แต่เป็นเพราะความรักและความเมตตาอันไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์การสร้างใหม่: พระสัญญาในการ "สร้างนิเวศ" บ่งบอกถึงการฟื้นฟูทั้งทางกายภาพและทางวิญญาณของกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งอาจหมายถึงการสร้างพระวิหารใหม่ การกลับมาของผู้ถูกเนรเทศ หรือการสถาปนาความยุติธรรมและสันติภาพการสถาปนา: การ "ขึงเชือกวัด" เป็นสัญลักษณ์ของการวัดและการวางแผนอย่างรอบคอบ ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูกรุงเยรูซาเล็มจะไม่เป็นไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เป็นไปตามแผนการณ์และพระประสงค์ของพระเจ้า
)
ศคย. 1:17 จงร้องประกาศอีกว่า พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า เมืองของเราจะไพบูลย์ท่วมท้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก และพระยาห์เวห์จะปลอบศิโยนและเลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง’
(
การฟื้นฟูและความเจริญรุ่งเรือง: พระเจ้าสัญญากับประชากรของพระองค์ว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกสร้างขึ้นใหม่และเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง คำว่า "ไพบูลย์ท่วมท้นไปด้วยความมั่งคั่ง" บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก และการฟื้นฟูจิตวิญญาณการปลอบโยน: ถ้อยคำ "พระยาห์เวห์จะปลอบศิโยน" แสดงถึงความรักและความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะปลอบโยนและเยียวยาความเจ็บปวดของพวกเขา จะทรงสถาปนาให้เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์อีกครั้ง แม้ว่าประชากรของพระองค์จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่พระองค์ก็ยังทรงเลือกพวกเขาและเมืองของพวกเขาอยู่การเลือกสรร: ถ้อยคำ "เลือกสรรกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง" ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันพิเศษระหว่างพระเจ้ากับเยรูซาเล็ม
ให้ความหวังและกำลังใจแก่ประชากรของพระเจ้าที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก เป็นการยืนยันว่าแม้ในยามที่มืดมนที่สุด พระเจ้าก็ยังทรงรักและห่วงใยประชากรของพระองค์ และพระองค์จะทรงทำให้พวกเขากลับมามีชีวิตที่ดีขึ้นอีกครั้ง ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของกรุงเยรูซาเล็มในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร )
การวิเคราะห์พระธรรมเศคาริยาห์ 1:7-17
บริบทและความสำคัญ
พระธรรมเศคาริยาห์เป็นหนึ่งในหนังสือที่อยู่ในกลุ่มของ "ผู้เผยพระวจนะน้อย" ซึ่งเขียนขึ้นหลังจากที่ชาวอิสราเอลกลับจากการถูกเนรเทศที่บาบิโลน หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยนิมิตและคำพยากรณ์ที่ให้กำลังใจและความหวังแก่ประชาชนของพระเจ้าในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทที่ 1 ข้อ 7-17 นี้ เศคาริยาห์ได้เห็นนิมิตที่บ่งบอกถึงความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อกรุงเยรูซาเล็มและพระประสงค์ที่จะฟื้นฟูเมืองให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
การวิเคราะห์ข้อความ
การสำรวจแผ่นดินโลก (ข้อ 8-11): นิมิตของม้าสีต่างๆ ที่ไปสำรวจแผ่นดินโลกบ่งบอกถึงความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อทั้งโลก และการยืนยันว่าพระองค์ทรงควบคุมทุกสิ่ง การที่ผู้รับใช้ของพระเจ้ารายงานว่า "ทั้งโลกก็สงบ" อาจหมายถึงการที่โลกยังคงดำเนินไปตามปกติ แม้ว่าอิสราเอลกำลังประสบความยากลำบาก
ความกังวลเกี่ยวกับกรุงเยรูซาเล็ม (ข้อ 12): ทูตสวรรค์ได้ถามพระเจ้าเกี่ยวกับเวลาที่พระองค์จะทรงเมตตากรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของประชาชนที่จะเห็นเมืองของตนกลับมามีความรุ่งเรืองอีกครั้ง
พระเมตตาของพระเจ้า (ข้อ 13-17): พระเจ้าทรงตอบด้วยพระเมตตาและคำสัญญาที่จะฟื้นฟูกกรุงเยรูซาเล็ม การ "ขึงเชือกวัด" หมายถึงการวางแผนและเตรียมการที่จะสร้างเมืองใหม่ให้มีความเจริญรุ่งเรือง คำสัญญาที่ว่า "เมืองของเราจะไพบูลย์ท่วมท้นไปด้วยความมั่งคั่งอีก" เป็นคำมั่นสัญญาที่ให้ความหวังแก่ประชาชนอิสราเอล
ความหมายและการประยุกต์ใช้
ความหวังในพระเมตตาของพระเจ้า: ข้อความนี้ให้ความหวังแก่ผู้เชื่อทุกคนว่าแม้ในยามที่เราเผชิญกับความยากลำบาก พระเจ้าก็ทรงห่วงใยและทรงมีแผนการที่จะฟื้นฟูเราเสมอ
ความสำคัญของการอธิษฐาน: การอธิษฐานของทูตสวรรค์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานเพื่อขอพระเมตตาของพระเจ้า
การฟื้นฟูของพระเจ้า: พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะฟื้นฟูทุกสิ่งที่เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สังคม หรือแม้กระทั่งเมือง
การมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์: การ "ขึงเชือกวัด" บ่งบอกถึงการที่เรามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานของพระเจ้า
สรุป
พระธรรมเศคาริยาห์ 1:7-17 ให้กำลังใจและความหวังแก่ผู้เชื่อทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เผชิญกับความยากลำบาก ข้อความนี้ยืนยันว่าพระเจ้าทรงห่วงใยและทรงมีแผนการที่จะฟื้นฟูทุกสิ่งที่เสียหาย และเชิญชวนให้เรามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์งานของพระองค์
คำถามเพื่อการไตร่ตรอง
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากข้อความนี้เกี่ยวกับพระลักษณะของพระเจ้า?
คุณเคยรู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวังในชีวิตบ้างไหม? ข้อความนี้ให้กำลังใจคุณอย่างไร?
คุณสามารถนำหลักการจากข้อความนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น