ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า
อฟ. 6:10 สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์
อฟ. 6:11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้
อฟ. 6:12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน
อฟ. 6:13 เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้
อฟ. 6:14 เพราะฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก
อฟ. 6:15 และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า
อฟ. 6:16 และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย
อฟ. 6:17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า
อฟ. 6:18 จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ
1.ความจริง (เอาความจริงคาดเอว)
ยน. 17:17 ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
มธ. 5:18 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น
สดด. 119:142 ความชอบธรรมของพระองค์ชอบธรรมอยู่เป็นนิตย์ และธรรมบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง
สดด. 119:160 สาระสำคัญแห่งพระวจนะของพระองค์ คือความจริง และกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์ทุกข้อดำรงอยู่เป็นนิตย์
มธ. 13:17 เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมจำนวนมาก ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ แต่ก็ไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยิน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน
ยน. 14:17 คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน
ยน. 15:26 แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา
ยน. 16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
มธ. 17:20 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”
มก. 11:23 เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัย แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามนั้นจริงๆ
มธ. 18:18 เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์
ยน. 1:14 พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
ยน. 1:17 คือว่าเราได้ธรรมบัญญัตินั้นมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์
ยน. 4:23 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์
ยน. 4:24 พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”
ยน. 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา
ยน. 14:12 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา
ยน. 16:7 อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
ยน. 16:23 ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน
กจ. 20:30 และจะมีบางคนในหมู่พวกท่านออกมาบิดเบือนความจริง เพื่อชักชวนสาวกให้หลงตามพวกเขาไป
อฟ. 4:15 แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
ฉธบ. 28:12 พระยาห์เวห์จะทรงเปิดคลังฟ้าสวรรค์อันดีของพระองค์ประทานฝนแก่แผ่นดินของท่านตามฤดูกาล และทรงอวยพรแก่งานแห่งมือของท่าน และท่านจะให้หลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืม
ฉธบ. 28:13 ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะทำตาม พระยาห์เวห์จะทรงทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง ทำให้สูงขึ้นเท่านั้นไม่ใช่ให้ต่ำลง
3ยน. 1:2 ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุข ความเจริญทุกอย่าง ดังที่จิตวิญญาณของท่านกำลังเจริญอยู่นั้น
ฟป. 4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์
มธ. 6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
ลก. 6:38 จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน”
กท. 3:14 เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
เรื่องแรกคือ ความมั่งคั่ง (ให้อย่างเต็มขนาด เต็มที่ หรือ จัดเตรียมให้อย่างมากมาย)
มาระโก 16:17 THSV11 “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือพวกเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา พวกเขาจะพูดภาษาแปลกๆ”
1 ยอห์น 3:8 THSV11 “ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารก็ทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร”
ฮีบรู 12:29 THSV11 “เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ”
มัทธิว 15:13 THSV11 “พระองค์จึงตรัสตอบว่า “ต้นไม้ทุกต้น ซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ไม่ได้ทรงปลูกไว้จะต้องถูกถอนออกเสีย”
สดุดี 125:1-2 THSV11 “บรรดาผู้ที่วางใจในพระยาห์เวห์ก็เหมือนภูเขาศิโยน ซึ่งไม่หวั่นไหว แต่ดำรงอยู่เป็นนิตย์ ภูเขาอยู่รอบเยรูซาเล็มฉันใด พระยาห์เวห์ทรงอยู่รอบประชากรของพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้สืบไปเป็นนิตย์ฉันนั้น”
เศคาริยาห์ 2:5 THSV11 “เราจะเป็นเหมือนกำแพงเพลิงล้อมเธอไว้ และเราจะเป็นศักดิ์ศรีในเมืองนั้น พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ’”
สดุดี 144:1 THSV11 “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ พระศิลาของข้าพระองค์ ผู้ทรงฝึกมือของข้าพระองค์ให้ทำสงคราม และฝึกนิ้วมือของข้าพระองค์ให้ทำศึก”
อิสยาห์ 54:15 THSV11 “ถ้ามีใครปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้ ก็ต้องไม่ใช่มาจากเรา ใครปลุกปั่นให้เกิดการต่อสู้เจ้า เขาก็จะล้มลงเพราะเจ้า
อิสยาห์ 54:17 THSV11 อาวุธทุกชนิดที่ทำขึ้นเพื่อต่อสู้เจ้าจะไม่ชนะ และเจ้าจะพิสูจน์ว่าลิ้นทุกลิ้นที่ลุกขึ้นต่อสู้เจ้าในการพิพากษานั้นชั่วร้าย นี่คือมรดกของบรรดาผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์ และการให้ความยุติธรรมต่อพวกเขานั้นมาจากเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ”
ยก. 4:7 เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป
ยอห์น 16:33 THSV11 “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว””
1 โครินธ์ 15:57 THSV11 “สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
1 ยอห์น 4:4 THSV11 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก”
1 ยอห์น 5:4 THSV11 “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”
วิวรณ์ 2:26 THSV11 “และคนที่ชนะและปฏิบัติงาน ของเราจนถึงที่สุด เราจะประทานสิทธิอำนาจเหนือบรรดาประชาชาติกับเขา”
2 โครินธ์ 8:9 THSV11 “เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์”
กาลาเทีย 3:8-9 THSV11 “และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนทุกชาติจะได้รับพรเพราะเจ้า เพราะฉะนั้น คนที่เชื่อจึงได้รับพรร่วมกับอับราฮัมผู้ซึ่งเชื่อ”
กาลาเทีย 3:13 THSV11 “พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง” )”
กาลาเทีย 3:14 THSV11 “เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ”
กาลาเทีย 3:29 THSV11 “และถ้าท่านทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นทายาทตามพระสัญญา”
โรม 4:13 THSV11ม“เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดก นั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ”
กาลาเทีย 4:1-3 THSV11 “ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมด แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครองและพ่อบ้าน จนถึงเวลาที่บิดาได้กำหนดไว้ เราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับของภูตผีที่ครอบงำของจักรวาล”
ฉธบ. 8:18 ท่านจงระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานกำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้
ฮกก. 2:8 เงินเป็นของเรา และทองก็เป็นของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ
มธ. 7:11 เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่ลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะประทานสิ่งดีแก่พวกที่ขอต่อพระองค์
อสย. 1:19 ถ้าพวกเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน
ลก. 10:19 นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย
สดด. 34:10 เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่ผู้ที่แสวงหาพระยาห์เวห์ไม่ขาดสิ่งดีใดๆ
สดด. 91:13 ท่านจะเหยียบสิงห์และงูเห่า ท่านจะย่ำสิงห์หนุ่มและงู
2ธส. 2:10 และอุบายชั่วทุกอย่างสำหรับพวกที่จะต้องพินาศ เพราะเขาไม่ได้รักความจริงเพื่อจะรอดได้
ยรม. 29:11 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า
อสย. 53:4 แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
อสย. 53:5 แต่ท่านถูกแทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพ และที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา
มธ. 8:17 ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “ท่านแบกความเจ็บไข้ของเรา และหอบโรคของเราไป”
กท. 3:13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง”
กท. 3:14 เพื่อพรของอับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนต่างชาติ ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ
1ปต. 2:24 พระองค์เองได้ทรงรับแบกบาปทั้งหลายของเราไว้ในพระกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราจะตายต่อบาปได้ และดำเนินชีวิตเพื่อความชอบธรรม ด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านจึงได้รับการรักษาให้หาย
อฟ. 2:6 และพระองค์ทรงทำให้เราเป็นขึ้นมาด้วยกันกับพระคริสต์ และทรงให้เรานั่งด้วยกันกับพระองค์ในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์
อฟ. 1:18 ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร
อฟ. 1:19 และรู้ว่าฤทธานุภาพของพระองค์ยิ่งใหญ่มากมายเพียงไรสำหรับเราที่เชื่อนั้น เป็นฤทธิ์เดชเดียวกับการทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์
อฟ. 1:20 ซึ่งทรงทำในพระคริสต์เมื่อทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และทรงให้ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน
อฟ. 1:21 สูงส่งเหนือกว่าทุกภูตผีที่ครอบครอง ทุกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกภูตผีที่มีฤทธิ์เดชและทุกภูตผีที่ปกครอง และเหนือกว่านามทั้งหมดที่ถูกกล่าวถึง ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย
อฟ. 1:22 พระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และประทานพระคริสต์แก่คริสตจักรให้เป็นเจ้านายเหนือทุกๆ สิ่ง
อฟ. 1:23 คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ผู้ทรงเติมทุกอย่างในทุกแห่งให้เต็มบริบูรณ์
มธ. 4:4 พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ ”
มธ. 4:7 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ”
มธ. 4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’ ”
ยน. 8:32 และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท”
ยน. 8:36 เพราะฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ
ยอห์น 8:12 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต””
2. ความชอบธรรม (เอาความชอบธรรมเป็นเกราะป้องกันอก)
กจ. 17:31 เพราะพระองค์ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้แล้ว ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรมโดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และพระเจ้าทรงให้คนทั้งปวงมีความมั่นใจในเรื่องนี้โดยทรงให้บุคคลผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย”
อสย. 61:10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระยาห์เวห์ ใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงสวมเสื้อผ้าแห่งความรอดให้ข้าพเจ้า พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม เหมือนเจ้าบ่าวที่โพกศีรษะแบบปุโรหิต และเหมือนเจ้าสาวที่แต่งตัวด้วยเพชรพลอย
ปฐก. 15:6 อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
สดด. 9:8 พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม พระองค์จะทรงตัดสินชาวประเทศทั้งหลายด้วยความเที่ยงธรรม
สดด. 31:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ลี้ภัยในพระองค์ ขออย่าให้ข้าพระองค์อับอายเลย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นภัยโดยความชอบธรรมของพระองค์
สดด. 35:28 แล้วลิ้นของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์ และจะสรรเสริญพระองค์วันยังค่ำ
สดด. 36:10 ขอทรงให้ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เรื่อยไปแก่ผู้ที่รู้จักพระองค์ และความชอบธรรมของพระองค์แก่คนใจซื่อ
สดด. 50:6 ฟ้าสวรรค์ประกาศความชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระเจ้านั่นแหละทรงเป็นผู้พิพากษา เส-ลาห์
สดด. 103:17 แต่ความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์นั้นดำรงอยู่ ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ และความชอบธรรมของพระองค์ต่อหลานเหลน
สภษ. 11:4 ความมั่งคั่งไม่มีประโยชน์ในวันแห่งพระพิโรธ แต่ความชอบธรรมช่วยให้พ้นจากความมรณา
สภษ. 16:8 มีเล็กน้อยพร้อมกับมีความชอบธรรม ก็ดีกว่ามีรายได้มากพร้อมกับความอยุติธรรม
สภษ. 20:28 ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์เฝ้ารักษาพระราชาไว้ และพระราชาจะทรงค้ำชูพระที่นั่งไว้ด้วยความชอบธรรม
อสย. 42:6 “เราคือยาห์เวห์ เราเรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราฉวยมือเจ้าและรักษาเจ้าไว้ เราให้เจ้าเป็นเหมือนพันธสัญญาแก่มนุษยชาติ และเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ
อสย. 51:6 จงเงยหน้าของพวกเจ้าดูฟ้าสวรรค์ แล้วมองดูแผ่นดินโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะหลุดลุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า แล้วผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนริ้น แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุด
อสย. 64:6 ข้าพระองค์ทุกคนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่เป็นมลทิน และความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก ข้าพระองค์ทุกคนเหี่ยวลงเหมือนใบไม้ และความผิดบาปของพวกข้าพระองค์พัดพาพวกข้าพระองค์ไปเหมือนลม
ยรม. 9:24 แต่ให้ผู้อวดอวดสิ่งนี้ คือการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระยาห์เวห์ ผู้สำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะเราพอใจในสิ่งเหล่านี้” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
ศฟย. 2:3 จงแสวงหาพระยาห์เวห์ ทุกคนที่ถ่อมใจบนแผ่นดิน คือผู้ที่ทำตามพระบัญชาของพระองค์ จงแสวงหาความชอบธรรม จงแสวงหาความถ่อมใจ บางทีพวกเจ้าจะได้รับการกำบัง ในวันแห่งพระพิโรธของพระยาห์เวห์
มธ. 5:6 “คนที่หิวและกระหายความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่ม
มธ. 5:10 “คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย
มธ. 5:20 เพราะเราบอกพวกท่านว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์
มธ. 6:33 แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้
ยน. 16:7 อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
ยน. 16:8 เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ยน. 16:9 ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่วางใจในเรา ยน. 16:10 ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก ยน. 16:11 ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว
ยน. 16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
3. ข่าวประเสริฐ(และเอาความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขมาสวมเป็นรองเท้า)
มธ. 4:23 พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของพวกเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาบรรดาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย
มธ. 9:35 พระเยซูจึงทรงดำเนินไปตามเมืองและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขาทั้งหลาย ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า ทรงรักษาโรคและความเจ็บป่วยทุกอย่างให้หาย
มธ. 24:14 ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
มก. 1:1 ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า เริ่มต้นตรงนี้
มก. 1:15 โดยตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐ”
มก. 8:35 เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด
มก. 10:29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ใครก็ตามที่สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา
กจ. 10:36 เรื่องที่พระองค์ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอลคือการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือคนทั้งหลาย
กจ. 11:20 แต่มีบางคนในพวกที่กระจัดกระจายไปนั้นที่เป็นชาวเกาะไซปรัสและชาวไซรีน คนเหล่านี้เมื่อมาถึงเมืองอันทิโอกก็กล่าวประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้ากับพวกกรีกด้วย
กจ. 13:32 เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งกับท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาที่ประทานแก่บรรดาบรรพบุรุษของเรานั้น
กจ. 14:15 “ท่านทั้งหลาย ทำไมจึงทำเช่นนี้? เราก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย และมาประกาศข่าวประเสริฐให้ท่านหันกลับจากสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้มาหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทะเล รวมทั้งสิ่งสารพัดซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น
กจ. 20:24 แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าสำหรับตัวเอง ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ของข้าพเจ้าและทำพันธกิจที่ได้รับจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ คือการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐที่สำแดงพระคุณของพระเจ้า
รม. 1:9 เพราะพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจของข้าพเจ้า ในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์นั้น ทรงเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เมื่ออธิษฐานนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงพวกท่านเสมอ
รม. 1:16 ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย
รม. 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”
รม. 10:16 แต่ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น อิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเรา?”
รม. 15:16 เพื่อให้เป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ไปยังคนต่างชาติ และทำหน้าที่ปุโรหิตฝ่ายข่าวประเสริฐของพระเจ้า เพื่อคนต่างชาติจะเป็นเครื่องบูชาที่ชอบพระทัย คือเป็นที่ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
รม. 15:19 คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า จนข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์อย่างถ้วนถี่ ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม
รม. 16:25 จงถวายพระเกียรติแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถให้ท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงตามข่าวประเสริฐซึ่งข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น คือเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ตามการเปิดเผยข้อล้ำลึก ซึ่งได้ปิดบังไว้ตั้งแต่โบราณกาล
1คร. 4:15 เพราะว่าในพระคริสต์ถึงแม้ท่านทั้งหลายมีผู้ดูแลสักหมื่นคน แต่ท่านก็มีบิดาเพียงคนเดียว เพราะว่าในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดพวกท่านโดยข่าวประเสริฐ
1คร. 9:14 ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสั่งไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐ
1คร. 9:16 เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะว่าข้าพเจ้าจำต้องทำ และถ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า
1คร. 9:27 แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวเองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
1คร. 15:2 และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่าท่านเชื่อแบบไร้ผล
2คร. 2:12 เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองโตรอัสเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์นั้น มีช่องทางเปิดให้กับข้าพเจ้าโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า
2คร. 4:3 แต่ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก ก็ถูกปิดบังไว้จากพวกที่กำลังจะพินาศ
2คร. 4:4 คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป เพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า
2คร. 9:13 โดยผลของการปรนนิบัตินี้ พวกเขาจะสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องที่ท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟังสมกับที่กล่าวยอมรับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และในเรื่องที่ท่านแบ่งปันกับพวกเขาและทุกคนด้วยใจกว้างขวาง
กท. 1:7 ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์
กท. 1:8 แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป
กท. 1:9 ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว และบัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า ถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งพวกท่านได้รับไว้แล้ว ให้ผู้นั้นถูกแช่งสาป
กท. 1:11 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข่าวประเสริฐที่ประกาศโดยข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ของมนุษย์
กท. 1:12 เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนั้นจากมนุษย์ ไม่มีใครสอนข้าพเจ้า แต่พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า
กท. 3:8 และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะทรงให้คนต่างชาติเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ จึงได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า ชนทุกชาติจะได้รับพรเพราะเจ้า
กท. 4:13 ท่านทั้งหลายคงจำได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าเริ่มต้นประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านนั้น ก็เป็นเพราะข้าพเจ้าเจ็บป่วยทางกาย
อฟ. 1:13 ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้
อฟ. 3:6 นั่นก็คือคนต่างชาติได้เป็นผู้ร่วมรับมรดก เป็นอวัยวะของกายเดียวกัน และเป็นผู้มีส่วนร่วมในพระสัญญาในพระเยซูคริสต์โดยทางข่าวประเสริฐ
อฟ. 3:7 ข้าพเจ้ามาเป็นผู้ปรนนิบัติของข่าวประเสริฐนี้ตามของประทานแห่งพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าโดยกิจการที่ทรงฤทธานุภาพของพระองค์
อฟ. 4:11 และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
ฟป. 1:5 เพราะท่านทั้งหลายมีส่วนร่วมในข่าวประเสริฐตั้งแต่วันแรกจนเวลานี้
ฟป. 1:7 ที่ข้าพเจ้าคิดอย่างนี้เกี่ยวกับพวกท่านทุกคนก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่าท่านมีใจรักข้าพเจ้า เนื่องจากพวกท่านมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในพระคุณทุกคน ทั้งในการที่ข้าพเจ้าถูกคุมขัง และในการปกป้องและหนุนให้ข่าวประเสริฐตั้งมั่นคง
ฟป. 1:12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐแผ่ขยายออกไป
ฟป. 1:27 ขอเพียงให้พวกท่านดำเนินชีวิตสมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อที่ว่าไม่ว่าข้าพเจ้าจะมาหาและได้เห็นหน้าท่าน หรือไม่มาหา ข้าพเจ้าก็จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกท่านว่า ท่านยืนหยัดมั่นคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันสู้ด้วยจิตใจเดียวกันเพื่อความเชื่อที่มาจากข่าวประเสริฐ
ฟป. 4:15 และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็รู้แล้วว่า เมื่อข้าพเจ้าออกจากแคว้นมาซิโดเนียในช่วงเริ่มแรกของการประกาศข่าวประเสริฐนั้น ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายนอกจากท่านพวกเดียว
คส. 1:5 เพราะความหวังที่เก็บไว้เพื่อพวกท่านในสวรรค์ ซึ่งท่านเคยได้ยินมาแล้วในถ้อยคำแห่งความจริงคือข่าวประเสริฐ
คส. 1:6 ที่มาถึงท่านทั้งหลาย ข่าวประเสริฐกำลังเกิดผลและเจริญขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในพวกท่านตั้งแต่วันที่ท่านได้ยินและเข้าใจพระคุณของพระเจ้าในความจริงนั้น
คส. 1:23 แต่ท่านทั้งหลายต้องดำรงอยู่ในความเชื่ออย่างแน่วแน่ มั่นคงและไม่โยกย้ายไปจากความหวังในข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน ซึ่งได้ประกาศแก่มนุษย์ทุกคนทั่วใต้ฟ้า และข้าพเจ้าเปาโลเป็นผู้ปรนนิบัติของข่าวประเสริฐนี้
1ธส. 1:5 และข่าวประเสริฐของเราที่มาถึงท่านไม่ได้มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เราเป็นคนอย่างไรในหมู่พวกท่านเพราะเห็นแก่ท่าน
1ธส. 2:2 ถึงแม้ว่าเราต้องทนการยากลำบาก และได้รับการอัปยศต่างๆ มาแล้วที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งท่านก็ทราบอยู่ เราก็ยังมีใจกล้าในพระเจ้าของเราที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกท่าน ทั้งๆ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย
1ธส. 2:4 แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา
1ธส. 2:9 พี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้ท่านฟัง เราทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อจะไม่เป็นภาระแก่ใครในพวกท่าน
2ธส. 1:8 ด้วยเปลวเพลิง พระองค์จะลงโทษสนองคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า และคนที่ไม่ดำเนินชีวิตตามข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2ธส. 2:14 พระองค์ทรงเรียกพวกท่านเพื่อการนี้โดยทางข่าวประเสริฐของเรา เพื่อท่านจะได้ร่วมในศักดิ์ศรีของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2ทธ. 1:8 เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือของตัวข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเพราะรับใช้พระองค์ แต่จงมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในความทุกข์ยากเพื่อข่าวประเสริฐ โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
2ทธ. 1:10 และบัดนี้ทรงสำแดงให้ประจักษ์ โดยการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ
2ทธ. 2:8 จงระลึกถึงพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้เป็นขึ้นจากตาย ทรงสืบเชื้อสายจากดาวิด ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศ
2ทธ. 2:9 และเพราะข่าวประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์กระทั่งถูกล่ามโซ่เหมือนกับผู้ร้าย แต่พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่อาจถูกล่ามโซ่ไว้ได้
2ทธ. 4:5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์
2ทธ. 4:17 อย่างไรก็ดีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ใกล้และประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าข่าวประเสริฐจะได้รับการประกาศออกไปอย่างเต็มที่ผ่านทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหมดจะได้ยิน แล้วข้าพเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดจากปากสิงโต
ฮบ. 4:6 ที่จริงยังมีทางให้บางคนเข้าสู่การหยุดพักนั้นได้ แต่คนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวประเสริฐคราวก่อนไม่ได้เข้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
1ปต. 1:12 พระองค์ทรงเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า พวกเขาไม่ได้ปรนนิบัติตัวเองในเรื่องเหล่านี้ แต่ปรนนิบัติพวกท่าน บัดนี้เรื่องเหล่านี้ถูกประกาศแก่พวกท่านทางผู้ประกาศข่าวประเสริฐ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานจากสวรรค์ เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู
1ปต. 1:25 แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว
1ปต. 4:17 เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร?
วว. 14:6 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ
กท. 3:13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นการสาปแช่งแห่งธรรมบัญญัติ โดยการทรงถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง” )
ทต. 2:14 พระองค์ประทานพระองค์เองแก่เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากการอธรรมทุกอย่าง และเพื่อชำระเราให้บริสุทธิ์ จะได้เป็นประชากรของพระองค์โดยเฉพาะซึ่งมีใจกระตือรือร้นที่จะทำการดี
รม. 3:25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น
รม. 8:3 เพราะว่าสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้มันอ่อนกำลังไปนั้น พระเจ้าได้ทรงทำแล้ว โดยพระองค์ทรงใช้พระบุตรของพระองค์เองมา ในสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาป และเพื่อไถ่บาป พระบุตรในเนื้อหนังจึงได้ทรงลงโทษบาป
1คร. 1:30 โดยพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระปัญญาจากพระเจ้าสำหรับเรา ทรงเป็นผู้ทำให้เราชอบธรรม ทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่บาป
ฮบ. 9:12 คือเสด็จเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ครั้งเดียวเป็นพอ และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป จึงได้มาซึ่งการไถ่บาปชั่วนิรันดร์
ยน. 10:11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ
ยน. 10:17 เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก
ยน. 10:18 ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา”
ยน. 15:13 ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน
1ยน. 3:16 เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง
4. ความเชื่อ (และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นี้พวกท่านจะสามารถดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย)
ปฐก. 15:6 อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน
สภษ. 22:12 พระเนตรของพระยาห์เวห์เฝ้ารักษาความรู้ แต่พระองค์ทรงทำลายถ้อยคำของคนไร้ความเชื่อเสีย
อสย. 26:2 จงเปิดประตูเมือง เพื่อประชาชาติชอบธรรมซึ่งรักษาความเชื่อไว้ จะได้เข้ามา
มธ. 9:2 นี่แน่ะ เขาทั้งหลายหามคนง่อยคนหนึ่งซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว”
มธ. 9:29 แล้วพระองค์ทรงแตะต้องนัยน์ตาของเขา ตรัสว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของพวกท่านเถิด”
มธ. 14:31 พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ทันที แล้วตรัสว่า “ช่างมีความเชื่อน้อย ท่านสงสัยทำไม?”
มธ. 15:28 แล้วพระเยซูตรัสตอบนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของท่านก็มาก ให้เป็นไปตามความต้องการของท่านเถิด” แล้วลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่เวลานั้น
มธ. 17:20 พระเยซูตรัสตอบว่า “เพราะว่าพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”
มธ. 21:21 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าเพียงพวกท่านมีความเชื่อและไม่ได้สงสัย ท่านไม่เพียงจะสามารถทำแบบเดียวกับที่เราทำกับต้นมะเดื่อ แต่ถ้าท่านทั้งหลายจะสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงลอยขึ้นและเคลื่อนไปลงทะเล’ ก็จะเป็นไปตามนั้น
มธ. 21:22 ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้”
มธ. 23:23 “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย
มก. 2:5 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
มก. 11:22 พระเยซูจึงตรัสตอบพวกสาวกว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้า
ลก. 7:9 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้วก็ประหลาดพระทัย จึงทรงเหลียวหลังตรัสกับฝูงชนที่ตามพระองค์มาว่า “เราบอกพวกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อมากเท่านี้แม้แต่ในอิสราเอล”
ลก. 7:50 พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด”
ลก. 8:25 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ความเชื่อของท่านทั้งหลายอยู่ที่ไหน?” เขาก็กลัวและอัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครนะ ถึงสั่งลมกับน้ำได้ และมันก็เชื่อฟังท่าน?”
ลก. 17:5 พวกอัครทูตทูลพระองค์ว่า “ขอพระองค์โปรดให้ความเชื่อของพวกข้าพระองค์เพิ่มมากยิ่งขึ้น”
ลก. 18:8 เราบอกพวกท่านว่า พระองค์จะประทานความยุติธรรมแก่พวกเขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านยังจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?”
ลก. 22:32 แต่เราอธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”
ยน. 20:31 แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์
กจ. 3:16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงทำให้คนนี้ที่ท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น เป็นความเชื่อที่มาทางพระองค์ ทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย
กจ. 11:24 บารนาบัสนั้นเป็นคนดี เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ คนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทวีจำนวนมากขึ้น
กจ. 16:5 คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน
รม. 1:17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ”
รม. 3:25 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น
รม. 3:30 เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ทรงยกโทษคนที่เข้าสุหนัตโดยเห็นแก่ความเชื่อ และจะทรงยกโทษคนที่ไม่เข้าสุหนัตก็โดยเห็นแก่ความเชื่อเหมือนกัน
รม. 4:5 ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้นพระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม
รม. 4:9 ถ้าเช่นนั้นความสุขมีแก่คนที่เข้าสุหนัต หรือว่ามีแก่พวกไม่เข้าสุหนัตด้วย? เรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อนั้นเอง พระองค์ทรงถือว่าอับราฮัมเป็นคนชอบธรรม”
รม. 4:13 เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ
รม. 4:16 เพราะเหตุนี้ การเป็นทายาทนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อ เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อรับรองพระสัญญานั้นแก่ลูกหลานของอับราฮัมทุกคน ไม่ใช่แก่ลูกหลานที่ถือธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่แก่ลูกหลานที่มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคน
รม. 4:20 ท่านไม่ได้หวั่นไหวแคลงใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อมั่นคง จึงถวายเกียรติแด่พระเจ้า
รม. 5:1 เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
รม. 10:8 แต่ความชอบธรรมว่าอย่างไร? ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน” (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น)
รม. 10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์
รม. 11:20 ถูกแล้ว พวกเขาถูกหักออก ก็เพราะเขาไม่เชื่อ แต่ที่ท่านอยู่ได้ก็เพราะความเชื่อเท่านั้น อย่าเย่อหยิ่งไปเลยแต่จงเกรงกลัว
รม. 12:3 ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทุกคนโดยพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดอย่างสุขุมสมกับขนาดความเชื่อที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน
รม. 12:6 และเราทุกคนมีของประทานต่างกัน ตามพระคุณที่ประทานแก่เรา คือถ้าของประทานเป็นการเผยพระวจนะ ก็จงเผยตามกำลังของความเชื่อ
รม. 14:1 จงต้อนรับคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่ แต่ไม่ใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว
รม. 14:22 จงให้ความเชื่อของท่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องระหว่างท่านกับพระเจ้า ใครไม่มีเหตุติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้นก็เป็นสุข
รม. 14:23 แต่คนที่มีความสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามที่ตนเชื่อ ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น
รม. 15:1 พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อข้อบกพร่องของคนที่อ่อนแอ ไม่ควรทำอะไรตามความพอใจของตัวเอง
รม. 15:2 เราทุกคนจงทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างความเชื่อของเขา
รม. 15:13 ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
1คร. 2:5 เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า
1คร. 13:2 แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย
1คร. 13:13 และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวัง และความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสามสิ่งนี้
1คร. 15:17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน
กท. 1:23 เขาทั้งหลายเพียงแต่ได้ยินว่า “ผู้ที่เคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย”
กท. 2:16 ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกชำระให้ชอบธรรมได้ โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราเองก็ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะถูกนับว่าชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะถูกนับว่าชอบธรรมได้เลย
กท. 2:20 ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
กท. 3:22 แต่พระคัมภีร์ได้จองจำทุกคนไว้ในบาป เพื่อพระสัญญาที่ตั้งอยู่บนความเชื่อในพระเยซูคริสต์จะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ที่เชื่อ
กท. 3:24 เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นผู้ควบคุมของเรา จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ
กท. 3:25 แต่เมื่อความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว
กท. 3:26 เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
กท. 6:10 เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ
อฟ. 2:8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า
อฟ. 3:12 ในพระองค์นั้นเราจึงมีความกล้าและความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางความเชื่อในพระคริสต์
อฟ. 3:17 ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก
อฟ. 4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์
อฟ. 6:23 ขอให้พี่น้องได้รับสันติสุข และความรักกับความเชื่อ จากพระเจ้าพระบิดาและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ฟป. 3:9 และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ
คส. 1:23 แต่ท่านทั้งหลายต้องดำรงอยู่ในความเชื่ออย่างแน่วแน่ มั่นคงและไม่โยกย้ายไปจากความหวังในข่าวประเสริฐที่ท่านได้ยิน ซึ่งได้ประกาศแก่มนุษย์ทุกคนทั่วใต้ฟ้า และข้าพเจ้าเปาโลเป็นผู้ปรนนิบัติของข่าวประเสริฐนี้
คส. 2:12 พวกท่านถูกฝังร่วมกับพระองค์ในการบัพติศมา ที่พระเจ้าทรงให้ท่านเป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์ด้วย โดยความเชื่อในพลานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงทำให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย
1ธส. 1:3 ต่อพระพักตร์พระเจ้าพระบิดาของเรา คือรำลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำ ถึงความรักที่ท่านเต็มใจทำงานหนัก และถึงความทรหดอดทนซึ่งเกิดจากความหวังในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
1ธส. 1:8 เพราะว่าคำสอนเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและในแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
1ธส. 3:2 และให้ทิโมธีน้องของเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้หนุนความเชื่อของท่าน และชูใจพวกท่าน
1ธส. 3:5 เพราะเหตุนี้ เมื่อข้าพเจ้าทนต่อไปอีกไม่ได้ จึงใช้คนไปเพื่อจะได้ทราบถึงความเชื่อของท่าน เกรงว่าผู้ทดลองนั้นจะทดลองท่านสักประการหนึ่ง แล้วงานที่เราตรากตรำมาจะเป็นงานเปล่าประโยชน์ไป
1ธส. 3:6 เดี๋ยวนี้ ทิโมธีจากพวกท่านมาถึงเราแล้ว และแจ้งข่าวดีเรื่องความเชื่อและความรักของท่าน และเขาบอกว่าท่านระลึกถึงเราอยู่เสมอด้วยความหวังดี และปรารถนาจะเห็นเราเหมือนอย่างเราปรารถนาจะเห็นท่านเหมือนกัน
1ธส. 3:7 พี่น้องทั้งหลาย เพราะเหตุนี้ ความเชื่อของท่านทำให้ความทุกข์ยาก และความลำบากของเราเบาบางลง
1ธส. 3:10 ขณะที่เราอธิษฐานอย่างมากมายทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อจะได้เห็นหน้าท่านอีก และเพื่อจะได้เพิ่มพูนความเชื่อของท่านในส่วนที่ยังขาดอยู่ให้บริบูรณ์
1ธส. 5:8 แต่เมื่อเราเป็นของเวลากลางวันแล้วก็ให้เรามีสติ จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก
2ธส. 1:3 พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสมควรยิ่งเพราะความเชื่อของท่านจำเริญขึ้น และความรักของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นด้วย
2ธส. 1:4 ฉะนั้นเราเองจึงอวดท่านต่อบรรดาคริสตจักรของพระเจ้า ในเรื่องความทรหดอดทน และความเชื่อของท่านในยามที่ถูกข่มเหงนานาประการ และที่ท่านอดทนต่อความยากลำบากนั้น
2ธส. 1:11 เพราะเหตุนี้ เราจึงอธิษฐานเพื่อพวกท่านเสมอ ขอพระเจ้าของเราทรงให้ท่านเป็นผู้ที่สมควรแก่การทรงเรียกนั้น และขอพระองค์ทรงให้ความตั้งใจดีทุกประการ และกิจการแห่งความเชื่อทุกอย่างสำเร็จด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์
1ทธ. 1:2 ถึง ทิโมธี ผู้เป็นบุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อ ขอพระคุณ พระเมตตา และสันติสุข จากพระเจ้าพระบิดาและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
1ทธ. 1:4 และไม่ให้สนใจในเรื่องเทพนิยายต่างๆ และเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลที่ไม่รู้จบสิ้น ซึ่งก่อความขัดแย้งมากกว่าการทำพระราชกิจของพระเจ้าโดยความเชื่อ
1ทธ. 1:5 แต่เป้าหมายของการกำชับนั้นก็คือ ความรักที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ จากมโนธรรมที่ดี และจากความเชื่อที่จริงใจ
1ทธ. 1:14 แต่พระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นมีเหลือล้นสำหรับข้าพเจ้า รวมทั้งความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์
1ทธ. 1:19 ให้ยึดความเชื่อไว้ และรักษามโนธรรมให้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่บางคนละทิ้งไป ทำให้ความเชื่อของพวกเขาอับปางลง
1ทธ. 2:7 เพราะเรื่องนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศและเป็นอัครทูต (ข้าพเจ้าพูดความจริงและไม่ได้โกหกเลย) เป็นอาจารย์ของพวกต่างชาติในเรื่องความเชื่อและความจริง
1ทธ. 2:15 แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะได้รับความรอดในการมีบุตร ถ้าหากพวกเธอดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
1ทธ. 3:9 และจะต้องเป็นคนที่ยึดมั่นในข้อล้ำลึกของความเชื่อ ด้วยมโนธรรมที่บริสุทธิ์
1ทธ. 3:13 เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่มัคนายกได้ดีก็มีชื่อเสียงดี และมีความกล้าหาญอย่างยิ่งในความเชื่อที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์
1ทธ. 3:16 เราต้องยอมรับว่าความล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรานั้นยิ่งใหญ่มาก คือว่า พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์ ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ
1ทธ. 4:1 พระวิญญาณตรัสอย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวง และคำสอนของพวกผี
1ทธ. 4:6 ถ้าท่านให้คำแนะนำเหล่านี้แก่พี่น้อง ท่านก็จะเป็นผู้ปรนนิบัติที่ดีของพระเยซูคริสต์ เจริญเติบโตด้วยถ้อยคำแห่งความเชื่อ และหลักคำสอนอันดีตามที่ท่านประพฤติตามแล้วนั้น
1ทธ. 4:12 อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์
1ทธ. 5:8 ถ้าใครไม่เลี้ยงดูญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะคนในครอบครัวแล้ว คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก
1ทธ. 5:16 ถ้าหญิงที่มีความเชื่อคนไหนมีญาติพี่น้องที่เป็นแม่ม่าย ก็ให้เธอช่วยเลี้ยงดูพวกนาง และอย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์พวกที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ
1ทธ. 6:2 ส่วนพวกมีนายที่มีความเชื่อก็ต้องไม่ขาดความเคารพนาย เนื่องจากเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่กลับจะต้องรับใช้นายให้ดียิ่งขึ้น เพราะว่านายทั้งหลายที่ได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของพวกเขานั้น เป็นพวกมีความเชื่อและเป็นที่รัก จงสั่งสอนและกำชับในเรื่องเหล่านี้
1ทธ. 6:10 เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย
1ทธ. 6:11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ และจงใฝ่หาความชอบธรรมทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความทรหดอดทน และความอ่อนสุภาพ
1ทธ. 6:12 จงต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ให้มั่น คือชีวิตที่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านไปรับ ในตอนที่ท่านกล่าวคำยอมรับอันดีต่อหน้าพยานหลายคน
1ทธ. 6:21 บางคนยอมรับความรู้นี้จึงหลงไปจากความเชื่อ ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
2ทธ. 1:5 ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออย่างจริงใจของท่านซึ่งเป็นความเชื่อที่โลอิสยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีสมารดาของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าก็เชื่อว่ามีอยู่ในตัวท่านด้วย
2ทธ. 1:13 จงประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์
2ทธ. 2:18 ทั้งสองคนนั้นหลงไปจากความจริงโดยกล่าวว่าการเป็นขึ้นจากตายนั้นผ่านไปแล้ว เขากำลังทำให้ความเชื่อของบางคนไขว้เขวไป
2ทธ. 2:22 เพราะฉะนั้นท่านจงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์
2ทธ. 3:8 ยันเนสกับยัมเบรส์เคยต่อต้านโมเสสอย่างไร คนพวกนี้ก็ต่อต้านความจริงอย่างนั้น จิตใจของเขาเสื่อมทรามและปราศจากความเชื่อที่แท้จริง
2ทธ. 3:10 แต่ท่านก็ได้ดำเนินตามสิ่งต่างๆ เหล่านี้ของข้าพเจ้าอยู่แล้ว คือดำเนินตามพฤติกรรม เป้าหมายชีวิต ความเชื่อ ความอดทน ความรัก ความทรหดอดทน
2ทธ. 3:15 และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
2ทธ. 4:7 ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว
ทต. 1:1 จาก เปาโล ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ เพื่อความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือกและความรู้ในความจริงตามทางพระเจ้า
ทต. 1:4 ถึง ทิตัสผู้เป็นบุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราดำรงอยู่กับท่านเถิด
ทต. 1:13 คำพยานของเขาเป็นความจริง เพราะฉะนั้นท่านจงว่ากล่าวเขาให้แรงๆ เพื่อให้พวกเขามีความเชื่อที่ถูกต้อง
ทต. 1:15 สำหรับบรรดาคนที่บริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่ชั่วช้าและไม่มีความเชื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและมโนธรรมของพวกเขาเสื่อมทราม
ทต. 2:2 สอนบรรดาผู้ชายสูงอายุให้รู้จักประมาณตน มีความน่านับถือ มีสติสัมปชัญญะ มีความเชื่อที่ถูกต้อง มีความรัก และความทรหดอดทน
ทต. 3:15 ทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากคำทักทายมายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากคำทักทายมายังทุกคนที่รักเราเพราะความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณดำรงอยู่กับพวกท่านทุกคนเถิด
ฟม. 1:5 เพราะข้าพเจ้าได้ยินเรื่องความรักและความเชื่อของท่านที่มีต่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อธรรมิกชนทุกคน
ฟม. 1:6 ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้การที่ท่านมีส่วนร่วมในความเชื่อจะเกิดผลมากในความรู้ซึ้งถึงสิ่งดีทุกอย่างที่เรามีในพระคริสต์
ฮบ. 3:19 เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าการที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปได้นั้นก็เพราะพวกเขาขาดความเชื่อ
ฮบ. 4:14 เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ผู้เสด็จผ่านฟ้าสวรรค์แล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เรายึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้
ฮบ. 6:1 เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า
ฮบ. 6:12 เพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นที่โดยทางความเชื่อและความอดทน จึงได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดก
ฮบ. 10:38 แต่คนชอบธรรมของเรานั้นจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ และถ้าเขาหันกลับ เราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย
ฮบ. 11:1 ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่หวังไว้ เป็นความแน่ใจในสิ่งที่มองไม่เห็น
ฮบ. 11:2 โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า
ฮบ. 11:3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
ฮบ. 11:4 โดยความเชื่อ อาเบลจึงนำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า โดยทางความเชื่อนั้นท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงรับรองของถวายของท่าน แม้ว่าอาเบลตายไปแล้ว แต่โดยทางความเชื่อท่านจึงยังพูดอยู่
ฮบ. 11:5 โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไปเพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย ไม่มีผู้ใดพบท่านเพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว เพราะก่อนที่จะรับท่านขึ้นไปนั้น ท่านได้รับการรับรองแล้วว่าท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
ฮบ. 11:6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์
ฮบ. 11:7 โดยความเชื่อ เมื่อโนอาห์ได้รับพระดำรัสเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็น ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้ปลอดภัย และโดยทางความเชื่อนั้น ท่านจึงกล่าวโทษชาวโลก และกลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมซึ่งมาโดยความเชื่อ
ฮบ. 11:8 โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้ออกเดินทางไปยังที่ที่ท่านจะรับเป็นมรดก ท่านก็เชื่อฟังและเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
ฮบ. 11:9 โดยความเชื่อ ท่านได้อาศัยในแผ่นดินแห่งพระสัญญาเหมือนเป็นคนต่างด้าว โดยพักอยู่ในเต็นท์ร่วมกับอิสอัคและยาโคบผู้เป็นทายาทตามพระสัญญาเดียวกันนั้น
ฮบ. 11:11 โดยความเชื่อ อับราฮัมได้รับพลังที่จะมีบุตร แม้ท่านชรามากแล้ว และนางซาราห์เองก็เป็นหมัน เพราะท่านถือว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญานั้นซื่อสัตย์
ฮบ. 11:13 คนเหล่านี้ทั้งหมดตายในขณะที่ยังมีความเชื่ออยู่ และยังไม่ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นแต่ไกลและรอรับด้วยใจยินดี และยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก
ฮบ. 11:17 โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ จึงได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา และท่านผู้ได้รับพระสัญญา ก็พร้อมแล้วที่จะถวายบุตรชายคนเดียวของท่าน
ฮบ. 11:20 โดยความเชื่อ อิสอัคจึงอวยพรยาโคบและเอซาว สำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
ฮบ. 11:21 โดยความเชื่อ เมื่อยาโคบใกล้จะตาย จึงอวยพรบุตรแต่ละคนของโยเซฟ และได้นมัสการพระเจ้า ขณะยันกายบนหัวไม้เท้าของท่าน
ฮบ. 11:22 โดยความเชื่อ เมื่อโยเซฟกำลังจะตาย จึงกล่าวถึงการอพยพของคนอิสราเอล และสั่งเสียเรื่องกระดูกของท่าน
ฮบ. 11:23 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเกิดมา บิดามารดาจึงซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเด็กน่ารัก และบิดามารดาของท่านไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย
ฮบ. 11:24 โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสโตแล้ว ท่านไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่า เป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์
5. ความรอด (จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ)
ปฐก. 49:18 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รอคอยความรอดของพระองค์
อพย. 14:13 โมเสสกล่าวกับประชากรว่า “อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้ พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป
อพย. 15:2 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าแห่งบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์
ฉธบ. 32:15 แต่เยชูรูนอ้วนขึ้นแล้วมีพยศ เจ้าอ้วนใหญ่ เนื้อหนานุ่ม แล้วเขาได้ทอดทิ้งพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขามา และดูหมิ่นพระศิลาแห่งความรอดของเขา
1ซมอ. 2:1 นางฮันนาห์อธิษฐานว่า “จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระยาห์เวห์ ในพระยาห์เวห์ กำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าหัวเราะพวกศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายินดีในความรอดของพระองค์
2ซมอ. 22:3 พระเจ้าแห่งศิลาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าลี้ภัยอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นโล่ เป็นพลังแห่งความรอดของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งและที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า พระผู้ช่วยของข้าพเจ้า พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากความทารุณ
2ซมอ. 22:36 พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และการถ่อมพระองค์ลงก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
2ซมอ. 22:47 “พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ พระเจ้า พระศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
2ซมอ. 23:5 พงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้นกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? เพราะพระองค์ทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้า อันเป็นระเบียบทุกอย่างและมั่นคง พระองค์จะไม่ทรงให้ความรอดทุกด้าน และความปรารถนาทุกอย่างของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?
1พศด. 16:23 แผ่นดินโลกทั้งสิ้น จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ จงประกาศความรอดของพระองค์ทุกๆ วัน
1พศด. 16:35 จงกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้รอด และขอทรงรวบรวมข้าพระองค์ทั้งหลายและทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายจากประชาชาติต่างๆ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะยกย่องพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ และเพื่อชื่นชมในการสรรเสริญพระองค์
2พศด. 6:41 “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยังที่พำนักของพระองค์ ทั้งพระองค์และหีบแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า ขอให้ปุโรหิตของพระองค์ รับความรอด และให้ธรรมิกชนของพระองค์เปรมปรีดิ์ในความประเสริฐของพระองค์
โยบ 13:16 นี่จะเป็นความรอดของข้า คือคนที่ไม่นับถือพระเจ้าจะไม่ได้เข้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
สดด. 18:2 พระยาห์เวห์ทรงเป็นศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า เป็นศิลาซึ่งข้าพเจ้าเข้าลี้ภัย ทรงเป็นโล่ เป็นพลังแห่งความรอด เป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งของข้าพเจ้า
สดด. 18:35 พระองค์ประทานโล่แห่งความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ และการถ่อมพระองค์ลง ก็ทำให้ข้าพระองค์เป็นใหญ่ขึ้น
สดด. 18:46 พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่ และพระศิลาของข้าพระองค์เป็นที่ควรสรรเสริญ พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์เป็นที่ยกย่อง
สดด. 24:5 เขาจะรับพระพรจากพระยาห์เวห์ และรับความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอดของเขา
สดด. 25:5 ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ
สดด. 27:1 พระยาห์เวห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า? พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเกรงผู้ใดเล่า?
สดด. 27:9 ขออย่าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์ อย่าทรงผลักไสผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปด้วยความกริ้ว พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขออย่าทรงละข้าพระองค์หรือทิ้งข้าพระองค์
สดด. 28:8 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังของประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นป้อมแห่งความรอดของผู้ที่พระองค์ทรงเจิม
สดด. 35:3 ขอทรงกวัดแกว่งหอกและขวานศึก สกัดผู้ไล่ล่าข้าพระองค์ ขอตรัสกับจิตใจของข้าพระองค์ว่า “เราเป็นความรอดของเจ้า”
สดด. 37:39 ความรอดของคนชอบธรรมมาจากพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขาในเวลายากลำบาก
สดด. 38:22 ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้ทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงรีบมาช่วยข้าพระองค์เถิด
สดด. 40:10 ข้าพระองค์มิได้เก็บงำการชอบธรรมของพระองค์ไว้แต่ในใจ ข้าพระองค์ได้พูดถึงความซื่อสัตย์และความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์มิได้ปิดบังความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์ ไว้จากชุมนุมชนใหญ่
สดด. 40:16 ขอให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ ปีติและยินดีในพระองค์ ขอให้บรรดาผู้ที่รักความรอดของพระองค์ กล่าวเสมอว่า “พระยาห์เวห์ใหญ่ยิ่งนัก”
สดด. 50:23 ผู้ถวายเครื่องบูชาคือการขอบพระคุณก็ให้เกียรติเรา เราจะสำแดงความรอดของพระเจ้า แก่ผู้จัดทางของตนอย่างถูกต้อง”
สดด. 51:12 ขอทรงคืนความชื่นบานในความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ และทำให้ข้าพระองค์เชื่อฟังด้วยความเต็มใจ
สดด. 51:14 ข้าแต่พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากโทษของการฆาตกรรม และลิ้นของข้าพระองค์จะร้องเพลงด้วยความยินดีเรื่องการช่วยกู้ของพระองค์
สดด. 62:1 จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
สดด. 62:2 พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย
สดด. 62:6 พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
สดด. 65:5 ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยการช่วยกู้ โดยกิจการที่น่าครั่นคร้าม พระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังของที่สุดปลายทั้งสิ้นของแผ่นดินโลก และของทะเลที่ไกลโพ้น
สดด. 68:19 สาธุการแด่องค์เจ้านาย ผู้ทรงแบกภาระเพื่อเราอยู่ทุกวัน พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรอดของเรา เส-ลาห์
สดด. 68:20 พระเจ้าของเราทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอด การหลุดพ้นจากความตายนั้นก็อยู่ที่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย
สดด. 74:12 ถึงกระนั้น พระเจ้า ผู้เป็นกษัตริย์ของข้าพระองค์ตั้งแต่กาลก่อน ทรงทำกิจแห่งความรอดในแผ่นดินโลก
สดด. 79:9 ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอด ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะเห็นแก่พระสิริแห่งพระนามของพระองค์ ขอทรงช่วยกู้และอภัยบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
สดด. 85:4 ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับคืนอีก ขอทรงระงับโทสะที่ทรงมีต่อข้าพระองค์ทั้งหลาย
สดด. 85:7 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสำแดงความรักมั่นคงของพระองค์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย และขอประทานความรอดของพระองค์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
สดด. 85:9 แน่ทีเดียวที่ความรอดของพระองค์อยู่ใกล้คนที่ยำเกรงพระองค์ เพื่อพระสิริจะอยู่ในแผ่นดินของข้าพระองค์ทั้งหลาย
สดด. 88:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ กลางวันข้าพระองค์ร้องทูล กลางคืนก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์
สดด. 89:26 เขาจะร้องต่อเราว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ และเป็นศิลาแห่งความรอดของข้าพระองค์’
สดด. 95:1 มาเถิด ให้เราร้องเพลงด้วยความยินดีถวายแด่พระยาห์เวห์ ให้เราโห่ร้องด้วยความชื่นบานถวายศิลาแห่งความรอดของเรา
สดด. 116:13 ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์
สดด. 118:14 พระยาห์เวห์ทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า
สดด. 118:21 ข้าพระองค์จะขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ และทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์
สดด. 119:41 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอความรักมั่นคงของพระองค์มาถึงข้าพระองค์ คือความรอดของพระองค์ตามพระสัญญาของพระองค์
สดด. 119:81 จิตใจของข้าพระองค์เหนื่อยอ่อนคอยความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์
สดด. 119:155 ความรอดนั้นอยู่ห่างจากคนอธรรม เพราะเขาไม่แสวงหากฎเกณฑ์ของพระองค์
สดด. 132:16 เราจะเอาความรอดห่มปุโรหิตของเมืองนี้ และผู้จงรักภักดีของเมืองนี้จะโห่ร้องด้วยความยินดี
สดด. 140:7 ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ผู้ทรงเป็นกำลังแห่งความรอดของข้าพระองค์ พระองค์ทรงกำบังศีรษะข้าพระองค์ไว้ในยามศึก
อสย. 12:2 “ดูสิ พระเจ้าเป็นความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะวางใจและไม่กลัว เพราะพระยาห์เวห์ คือพระยาห์เวห์เองทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า และพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้าแล้ว”
อสย. 12:3 ท่านทั้งหลายจะตักน้ำจากบ่อน้ำแห่งความรอดด้วยความชื่นบาน
อสย. 17:10 เพราะเจ้าได้หลงลืมพระเจ้าแห่งความรอดของเจ้า และไม่ได้จดจำพระศิลาแห่งการลี้ภัยของเจ้า ดังนั้นเจ้าปลูกต้นไม้แห่งความยินดี และปักกิ่งองุ่นของคนต่างด้าวไว้
อสย. 25:9 และในวันนั้น เขาจะกล่าวกันว่า “ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา เรารอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด นี่คือพระยาห์เวห์ เรารอคอยพระองค์ ให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ในความรอดจากพระองค์”
อสย. 26:1 ในวันนั้น เขาจะร้องเพลงนี้ในแผ่นดินยูดาห์ “เรามีเมืองเข้มแข็งเมืองหนึ่ง พระองค์ทรงตั้งความรอดไว้ เป็นกำแพงและแนวป้องกัน
อสย. 33:2 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงกรุณาพวกข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์ ขอทรงเป็นแขนของข้าพระองค์ทั้งหลายทุกๆ เช้า เป็นความรอดของพวกข้าพระองค์ในยามทุกข์ยาก
อสย. 33:6 และพระองค์จะทรงเป็นเสถียรภาพในช่วงเวลาของท่าน ทรงเป็นความรอด สติปัญญา และความรู้อันอุดม ความยำเกรงพระยาห์เวห์เป็นทรัพย์สมบัติของศิโยน
อสย. 45:8 “โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงโปรยฝนมาจากเบื้องบน และให้ท้องฟ้าหลั่งความชอบธรรมลงมา ให้แผ่นดินโลกเปิดออก และความรอดงอกเงยขึ้น และให้ความชอบธรรมงอกขึ้นมาด้วย เรา คือยาห์เวห์ผู้ได้สร้างมัน
อสย. 45:17 แต่อิสราเอลจะได้รับการช่วยกู้จากพระยาห์เวห์ ด้วยความรอดเนืองนิตย์ พวกท่านจะไม่อับอายหรือถูกทำให้ขายหน้า ตลอดไปเป็นนิตย์
อสย. 45:22 “ที่สุดปลายแผ่นดินโลกทุกแห่ง จงหันมาหาเราและรับความรอด เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้อื่น
อสย. 46:13 เราจะนำความชอบธรรมของเรามาใกล้ มันไม่ไกลเลย และความรอดของเราจะไม่ชักช้า เราจะให้ความรอดในศิโยน และให้ศักดิ์ศรีของเราแก่อิสราเอล
อสย. 49:6 พระองค์ตรัสว่า “ซึ่งเจ้าจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อจะยกเผ่าทั้งหลายของยาโคบขึ้น และเพื่อให้อิสราเอลที่เหลือกลับสู่สภาพดีนั้น ดูจะเป็นการเล็กน้อยเกินไป เราจะให้เจ้าเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ เพื่อความรอดของเราจะไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก”
อสย. 49:8 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “ในเวลาโปรดปราน เราได้ตอบเจ้าแล้ว ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า เราได้ดูแลเจ้า และมอบเจ้าไว้ ให้เป็นพันธสัญญาของชนชาติ เพื่อฟื้นฟูแผ่นดิน เพื่อแบ่งที่ร้างเปล่าให้เป็นมรดก
อสย. 51:6 จงเงยหน้าของพวกเจ้าดูฟ้าสวรรค์ แล้วมองดูแผ่นดินโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะหลุดลุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า แล้วผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนริ้น แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุด
อสย. 51:8 เพราะว่าตัวแมลงจะกินเขาเหมือนกินเสื้อผ้า และตัวหนอนจะกินเขาเหมือนกินขนแกะ แต่ความชอบธรรมของเราจะดำรงเป็นนิตย์ และความรอดของเราอยู่ทุกชั่วชาติพันธุ์
อสย. 52:7 เท้าของผู้นำข่าวซึ่งอยู่บนภูเขานั้นช่างงดงามจริง คือผู้นำข่าวที่ประกาศสันติภาพ และผู้ที่นำข่าวอันน่ายินดี ทั้งเท้าของผู้ประกาศความรอด และผู้กล่าวกับศิโยนว่า “พระเจ้าของท่านทรงครอบครอง”
อสย. 52:10 พระยาห์เวห์เปลือยพระกรอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ต่อหน้าต่อตาประชาชาติทั้งหมด และสุดปลายแผ่นดินโลกทั้งหมดจะเห็น ความรอดของพระเจ้าของเรา
อสย. 56:1 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “จงรักษาความยุติธรรมและทำความชอบธรรม เพราะความรอดของเราใกล้มาถึง และความชอบธรรมของเราจะเผยออก
อสย. 59:11 พวกเราทุกคนครางเหมือนหมี เราครวญครางเหมือนนกพิราบ เราคาดหวังความยุติธรรม แต่ไม่มีเลย คาดหวังความรอด แต่มันก็อยู่ห่างไกลจากเรา
อสย. 59:17 พระองค์ทรงสวมความชอบธรรมเป็นทับทรวง และสวมพระมาลาแห่งความรอดอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ พระองค์สวมฉลองพระองค์แห่งการแก้แค้นเป็นอาภรณ์ และทรงเอาความกระตือรือร้นห่อหุ้มพระองค์
อสย. 60:18 เจ้าจะไม่ได้ยินถึงความรุนแรงในแผ่นดินของเจ้าอีก และไม่ได้ยินถึงการล้างผลาญหรือการทำลายในเขตแดนของเจ้า เจ้าจะเรียกกำแพงเจ้าว่าความรอด และเรียกประตูเมืองเจ้าว่าการสรรเสริญ
อสย. 61:10 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระยาห์เวห์ ใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงสวมเสื้อผ้าแห่งความรอดให้ข้าพเจ้า พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรม เหมือนเจ้าบ่าวที่โพกศีรษะแบบปุโรหิต และเหมือนเจ้าสาวที่แต่งตัวด้วยเพชรพลอย
อสย. 62:1 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ระงับเสียง และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเงียบ จนกว่าความชอบธรรมของนครนี้จะออกไปเหมือนความสว่าง และความรอดของนครนี้ออกไปเหมือนคบเพลิงที่ลุกอยู่
อสย. 62:11 ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงประกาศ ไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลกว่า “จงกล่าวกับธิดาศิโยนว่า ‘นี่แน่ะ ความรอดของเจ้ามาแล้ว ดูสิ รางวัลของพระองค์ก็อยู่กับพระองค์ และค่าตอบแทนของพระองค์ก็อยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์’ ”
ยรม. 3:23 “แท้จริง เนินเขาก็เป็นแต่สิ่งหลอกลวง และความสับสนอลหม่านบนภูเขาก็เช่นกัน แท้จริงความรอดของอิสราเอลนั้น อยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา
ยรม. 23:6 ในสมัยของท่าน ยูดาห์จะได้รับความรอด และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย นี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระยาห์เวห์ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา’ ”
พคค. 3:26 เป็นการดีที่จะรออย่างเงียบๆ คือรอความรอดจากพระยาห์เวห์
ยนา. 2:9 แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียงขอบพระคุณ ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น ความรอดนั้นมาจากพระยาห์เวห์”
มคา. 7:7 แต่สำหรับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะมองดูพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเฝ้าคอยพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงฟังข้าพเจ้า
ฮบก. 3:18 ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า
ศคย. 9:9 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง นี่แน่ะ กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลา ทรงลูกลา
มธ. 10:22 คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่สู้ทนจนถึงที่สุดจะได้รับความรอด
ลก. 1:77 เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์รู้ถึงความรอด ซึ่งมาทางการทรงยกโทษบาปเขาเหล่านั้น
ลก. 2:30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว
ลก. 3:6 และมนุษย์ทั้งหลายจะได้เห็นความรอดของพระเจ้า”
ลก. 8:12 ที่ตกตามหนทางหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว มารมาชิงเอาพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด
ลก. 19:9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “วันนี้ความรอดมาถึงบ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย
ยน. 4:22 สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว
กจ. 2:21 และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด’
กจ. 4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
กจ. 13:26 “พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม และคนทั้งหลายในพวกท่านซึ่งเป็นพวกที่เกรงกลัวพระเจ้า ข่าวเรื่องความรอดนี้ถูกส่งมาถึงเรา
กจ. 13:47 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งเราว่าอย่างนี้ ‘เราตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างสำหรับคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก’ ”
กจ. 15:1 มีบางคนลงมาจากแคว้นยูเดียสั่งสอนพี่น้องว่า ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามจารีตของโมเสสก็จะไม่สามารถได้รับความรอด
กจ. 16:30 แล้วพาท่านทั้งสองออกมากล่าวว่า “ข้าแต่ท่าน ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?”
กจ. 16:31 เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านและครอบครัวจะได้รับความรอด”
กจ. 28:28 เพราะฉะนั้นท่านจงรู้เถิดว่า ความรอดของพระเจ้าถูกส่งไปให้คนต่างชาติแล้ว และพวกเขาจะฟัง”
รม. 1:16 ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย
รม. 10:1 พี่น้องทั้งหลาย ความปรารถนาในจิตใจของข้าพเจ้าและคำวิงวอนขอต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้น คือขอให้เขาได้รับความรอด
รม. 10:10 เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด
รม. 11:11 ข้าพเจ้าจึงถามว่า พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มทีเดียวหรือ? เปล่าเลย แต่การที่เขาละเมิดนั้นเป็นเหตุให้ความรอดแผ่มาถึงพวกต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลอิจฉา
รม. 11:26 และเมื่อเป็นดังนั้น อิสราเอลทั้งชาติก็จะได้รับความรอด ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พระผู้ช่วยกู้ชีวิตจะเสด็จมาจากศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ
รม. 13:11 นอกจากนั้นท่านควรจะรู้ว่านี่เป็นเวลาที่ควรตื่นจากหลับแล้ว เพราะว่าความรอดได้เข้ามาใกล้กว่าสมัยที่เราเริ่มเชื่อนั้น
1คร. 5:5 พวกท่านจงมอบคนเช่นนี้ให้ซาตานทำลายเนื้อหนัง เพื่อจิตวิญญาณของเขาจะได้รับความรอด ในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
1คร. 10:33 และให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเองที่พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด
1คร. 15:2 และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่าท่านเชื่อแบบไร้ผล
2คร. 1:6 ที่เราทนความยากลำบากนั้น ก็เพื่อให้พวกท่านได้รับการหนุนใจและได้รับความรอด และที่เราได้รับการหนุนใจ ก็เพื่อให้พวกท่านได้รับการหนุนใจด้วย ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อสู้ทนความทุกข์เช่นเดียวกับที่เราทนอยู่นั้น
2คร. 6:2 เพราะว่าพระองค์ตรัสว่า “ในเวลาโปรดปรานเราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า” นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาแห่งความโปรดปราน นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด
2คร. 7:10 เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย
อฟ. 1:13 ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้
อฟ. 2:5 ถึงแม้ว่าเราเป็นคนตายเนื่องจากการละเมิด พระองค์ยังทรงทำให้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระคริสต์ (พวกท่านได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณ)
อฟ. 2:8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า
อฟ. 6:17 จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า
ฟป. 1:28 และท่านไม่เกรงกลัวพวกที่ขัดขวางเลย สิ่งนี้เป็นหลักฐานแห่งความพินาศต่อพวกเขา แต่เป็นหลักฐานแห่งความรอดของพวกท่าน และการดังกล่าวมาจากพระเจ้า
ฟป. 2:12 ฉะนั้น พวกที่รักของข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ท่านเชื่อฟังข้าพเจ้าอยู่เสมอ ท่านจงอุตส่าห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลาย ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น ไม่เฉพาะในเวลาที่ข้าพเจ้าอยู่ด้วยเท่านั้น แต่มากยิ่งกว่านั้นอีกในเวลาที่ข้าพเจ้าไม่อยู่
1ธส. 2:16 โดยขัดขวางไม่ให้เราประกาศแก่คนต่างชาติเพื่อให้ได้รับความรอด การทำเช่นนี้ส่งผลให้บาปของพวกเขาเต็มเปี่ยม แต่ในที่สุดพระพิโรธของพระเจ้าก็ตกอยู่เหนือพวกเขา
1ธส. 5:8 แต่เมื่อเราเป็นของเวลากลางวันแล้วก็ให้เรามีสติ จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก
1ธส. 5:9 เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระพิโรธ แต่สำหรับการรับความรอด โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
2ธส. 2:13 พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิมเพื่อจะได้รับความรอด โดยการชำระของพระวิญญาณให้บริสุทธิ์ และโดยการเชื่อความจริง
1ทธ. 2:4 พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง
1ทธ. 2:15 แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะได้รับความรอดในการมีบุตร ถ้าหากพวกเธอดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก และความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม
2ทธ. 2:10 เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงยอมสู้ทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่พวกที่ทรงเลือกไว้นั้น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้รับความรอดที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร์
2ทธ. 3:15 และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
ฮบ. 1:14 ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นเพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่ทรงส่งไปปรนนิบัติบรรดาคนที่จะได้รับความรอดไม่ใช่หรือ?
ฮบ. 2:3 เราจะรอดพ้นได้อย่างไร? ถ้าเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความรอดนั้นได้เริ่มขึ้นโดยการประกาศขององค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระองค์ก็รับรองกับเราว่าเป็นความจริง
ฮบ. 2:10 ในเรื่องที่พระเจ้าทรงนำบุตรจำนวนมากไปสู่ศักดิ์ศรีนั้น ก็เป็นการเหมาะสมแล้ว ที่พระเจ้าผู้ซึ่งทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์และโดยพระองค์ จะทรงทำให้ผู้เบิกทางสู่ความรอดของพวกเขาสมบูรณ์โดยความทุกข์ทรมานต่างๆ
ฮบ. 5:9 เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์
ฮบ. 6:9 แต่ท่านที่รักทั้งหลาย แม้พวกเราจะพูดอย่างนั้นเราก็เชื่อแน่ว่า ในกรณีของพวกท่านนั้นมีสิ่งที่ดีกว่า นั่นก็คือสิ่งที่เกี่ยวกับความรอด
ฮบ. 9:28 พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ
1ปต. 1:5 ผู้ได้รับการคุ้มครองโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าทางความเชื่อให้เข้าในความรอด ซึ่งพร้อมจะปรากฏในวาระสุดท้าย
1ปต. 1:9 เพราะได้รับความรอดแห่งวิญญาณจิตอันเป็นผลจากความเชื่อของพวกท่าน
1ปต. 1:10 พวกผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะเกิดแก่พวกท่าน ก็ได้เสาะหาและสืบค้นอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้
1ปต. 2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่ไร้สิ่งเจือปน เพื่อโดยน้ำนมนั้นพวกท่านจะเติบโตขึ้นสู่ความรอด
1ปต. 3:21 บัดนี้น้ำนั้นที่เล็งถึงพิธีบัพติศมาก็ช่วยพวกท่านให้รอดเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เป็นการชำระมลทินทางกาย แต่เป็นการวิงวอนพระเจ้าเพื่อจะมีมโนธรรมที่ดี ความรอดนั้นมาโดยทางการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์
ยด. 1:3 ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเขียนถึงท่านเรื่องความรอดที่เรามีร่วมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า จำเป็นจะต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวกธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป
วว. 7:10 พวกเขาร้องเสียงดังว่า “ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเราผู้ประทับบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับพระเมษโปดก”
วว. 12:10 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า “บัดนี้ความรอดและฤทธิ์เดช และอาณาจักรของพระเจ้าของเรา และสิทธิอำนาจของพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว เพราะว่าผู้กล่าวหาพี่น้องของเรา ถูกโยนลงไปแล้ว คือผู้ที่กล่าวหาพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเราทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น
วว. 19:1 หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงของมหาชนที่ดังสนั่นอยู่ในสวรรค์ กล่าวว่า “ฮาเลลูยา ความรอด พระสิริ และฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา
6. พระวจนะ (จงถือพระแสงของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า)
ปฐก. 20:7 บัดนี้ จงคืนภรรยาของชายนั้นไปเสีย เพราะเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาจะอธิษฐานเพื่อเจ้า แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่คืน ก็จงรู้เถิดว่าเจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าเอง และทุกคนที่เป็นของเจ้า”
อพย. 7:1 พระยาห์เวห์จึงตรัสกับโมเสสว่า “ดูสิ เราตั้งเจ้าไว้เป็นดังพระเจ้าต่อฟาโรห์ และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นผู้เผยพระวจนะของเจ้า
อพย. 15:20 มิเรียมผู้เผยพระวจนะหญิง พี่สาวของอาโรนก็ถือรำมะนา และหญิงทั้งหมดก็ถือรำมะนาเดินตามพร้อมกับเต้นรำไปด้วย
อพย. 20:1 พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งสิ้นต่อไปนี้ว่า
อพย. 24:3 โมเสสจึงนำพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์และกฎหมายทั้งสิ้นมาชี้แจงให้ประชาชนทราบ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสไว้นั้น เราจะทำตาม”
อพย. 24:4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ แล้วลุกขึ้นแต่เช้า สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้นตามจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
อพย. 24:8 โมเสสก็เอาเลือดประพรมประชาชนและกล่าวว่า “นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับพวกท่านตามพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้”
กดว. 11:25 และพระยาห์เวห์เสด็จลงมาในเมฆและตรัสกับโมเสส แล้วทรงเอาจากวิญญาณที่มีอยู่บนโมเสสใส่บนพวกผู้ใหญ่เจ็ดสิบคนนั้นด้วย เมื่อวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งหลายแล้ว เขาทั้งหลายก็เผยพระวจนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอีกเลย
กดว. 11:26 มีสองคนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด และวิญญาณมาอยู่บนเขาทั้งสอง (เขาทั้งสองอยู่ในกลุ่มคนที่ถูกจดชื่อไว้แต่ไม่ได้มาที่เต็นท์) และเขาทั้งสองก็เผยพระวจนะในค่าย
กดว. 11:27 มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย”
กดว. 11:29 แต่โมเสสบอกเขาว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าอยากให้ประชาชนของพระยาห์เวห์เป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และข้าพเจ้าอยากให้พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนพวกเขา”
กดว. 12:6 พระองค์ตรัสว่า “จงฟังถ้อยคำของเรา ถ้าจะมีผู้เผยพระวจนะขึ้นในพวกเจ้า เรา ยาห์เวห์จะสำแดงตัวต่อคนนั้นเป็นนิมิต เราจะพูดกับเขาทางฝัน
กดว. 24:4 คำพยากรณ์ของคนที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ผู้ที่ได้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ที่ล้มลง แต่นัยน์ตากลับไม่ถูกบดบัง
กดว. 24:16 คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และรู้ถึงพระปัญญาขององค์ผู้สูงสุด ผู้ที่ได้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ล้มลง แต่นัยน์ตากลับไม่ถูกบดบัง
ฉธบ. 4:36 พระองค์ทรงให้พวกท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากฟ้า เพื่อให้ท่านมีวินัย พระองค์ทรงให้ท่านเห็นเพลิงใหญ่ของพระองค์ในโลก และท่านได้ยินพระวจนะของพระองค์จากกลางเพลิง
ฉธบ. 5:5 เวลานั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระยาห์เวห์กับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระยาห์เวห์แก่ท่าน เพราะท่านกลัวเพลิง จึงไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
ฉธบ. 5:22 “พระยาห์เวห์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ด้วยพระสุรเสียงกึกก้องแก่ชุมนุมชนทั้งหมดของพวกท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิง เมฆ และความมืดครึ้มหนาทึบ และไม่ได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก แล้วพระองค์ทรงจารึกลงบนแผ่นศิลาสองแผ่นและประทานแก่ข้าพเจ้า
ฉธบ. 5:27 ท่านจงเข้าไปใกล้ และฟังทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัส และนำพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสแก่ท่านนั้นมากล่าวแก่เรา และเราจะฟังและทำตาม’
ฉธบ. 9:5 ที่ท่านกำลังจะเข้ายึดครองแผ่นดินของพวกเขานั้น ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมของท่าน หรือความซื่อตรงในใจของท่าน แต่เพราะความชั่วช้าของประชาชาติเหล่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจึงทรงขับไล่พวกเขาออกเสียต่อหน้าท่าน และเพื่อพระองค์จะทรงให้เป็นจริงตามพระวจนะซึ่งพระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน คือต่ออับราฮัม ต่ออิสอัค และต่อยาโคบ
ฉธบ. 9:10 และพระยาห์เวห์ได้ประทานศิลาจารึกสองแผ่นที่ทรงจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าแก่ข้าพเจ้า บนแผ่นจารึกนั้นมีพระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมกันอยู่
ฉธบ. 10:4 แล้วพระองค์จึงทรงจารึกพระบัญญัติสิบประการลงบนศิลาอย่างครั้งก่อน ซึ่งเป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสกับพวกท่านบนภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมนั้น และพระยาห์เวห์ประทานศิลานั้นแก่ข้าพเจ้า
ฉธบ. 13:1 “ถ้าในท่ามกลางท่านเกิดมีผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์ขึ้น และสำแดงหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์แก่ท่าน
ฉธบ. 13:3 ท่านอย่าเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงลองใจพวกท่านดู เพื่อจะได้ทรงทราบว่าพวกท่านรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่านหรือไม่?
ฉธบ. 13:5 แต่ผู้เผยพระวจนะหรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนั้นต้องมีโทษถึงตาย เพราะเขาได้พูดให้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส เพื่อผลักดันท่านออกไปจากทางซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาให้ท่านดำเนิน โดยวิธีนี้ท่านจึงจะขจัดความชั่วไปจากท่ามกลางท่าน
ฉธบ. 18:15 “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะโปรดให้ผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับข้าพเจ้านี้เกิดขึ้นในหมู่พวกท่านจากพี่น้องของท่าน พวกท่านจงเชื่อฟังเขา
ฉธบ. 18:18 เราจะให้มีผู้เผยพระวจนะอย่างเจ้าเกิดขึ้นในหมู่พวกพี่น้องของเขา และเราจะใส่ถ้อยคำของเราในปากของเขา และเขาจะกล่าวทุกสิ่งที่เราบัญชาเขาไว้นั้นแก่พวกเขา
ฉธบ. 18:20 แต่ผู้เผยพระวจนะที่บังอาจกล่าวคำในนามของเราซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้กล่าว หรือกล่าวในนามของพระอื่น ผู้เผยพระวจนะนั้นต้องมีโทษถึงตาย’
ฉธบ. 18:22 เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส ผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย
ฉธบ. 33:9 ผู้กล่าวถึงบิดามารดาของตนว่า ‘ข้าพเจ้าไม่คำนึงถึงเขาแล้ว’ เขาไม่ยอมรับพี่น้องของเขา และไม่รู้จักลูกของตน เพราะเขาปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ และรักษาพันธสัญญาของพระองค์
ฉธบ. 34:10 ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอลเสมอโมเสส ผู้ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงรู้จักหน้าต่อหน้า
ยชว. 8:27 แต่อิสราเอลได้ริบเอาฝูงสัตว์เลี้ยงและข้าวของของเมืองนั้นเป็นของตน ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงบัญชาไว้แก่โยชูวา
ยชว. 24:27 แล้วโยชูวากล่าวแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “นี่แน่ะ ศิลาก้อนนี้จะเป็นพยานปรักปรำพวกเรา เพราะศิลานี้ได้ยินพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสแก่เรา จึงจะเป็นพยานปรักปรำท่าน หากท่านปฏิเสธพระเจ้าของท่าน”
วนฉ. 3:20 และเอฮูดก็เข้าไปเฝ้าพระองค์ ขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ลำพังในห้องเย็นชั้นบนของพระองค์ และเอฮูดทูลว่า “ข้าพระบาทมีพระวจนะจากพระเจ้ามายังฝ่าพระบาท” พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง
วนฉ. 4:4 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยคนอิสราเอลในเวลานั้น ชื่อเดโบราห์ ภรรยาของลัปปิโดท
วนฉ. 6:8 พระยาห์เวห์ก็ทรงใช้ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งให้มาหาคนอิสราเอล ผู้นั้นพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้นำพวกเจ้าขึ้นมาจากอียิปต์ นำเจ้าออกมาจากแดนทาส
1ซมอ. 3:20 และชนอิสราเอลทั้งปวง ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เชบาก็ทราบว่า ซามูเอลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์
1ซมอ. 9:9 ในอิสราเอลสมัยก่อน เมื่อคนใดจะไปทูลถามพระเจ้า เขาพูดว่า “มาเถอะ ให้เราไปหาผู้ทำนายกัน” เพราะในสมัยก่อนเรียกผู้เผยพระวจนะในสมัยนี้ว่าผู้ทำนาย
1ซมอ. 10:5 ต่อจากนั้นท่านจะมาถึง กิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีกองทหารรักษาการของพวกฟีลิสเตีย เมื่อท่านมาถึงเมืองนั้น ท่านจะพบผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งกำลังลงมาจากปูชนียสถานสูงถือพิณใหญ่ รำมะนา ปี่ พิณเขาคู่ นำหน้ามา กำลังเผยพระวจนะอยู่
1ซมอ. 10:6 แล้วพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงสวมทับท่าน และท่านจะเผยพระวจนะกับคนเหล่านั้น ท่านจะถูกเปลี่ยนเป็นคนละคน
1ซมอ. 10:10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ นี่แน่ะ ผู้เผยพระวจนะหมู่หนึ่งพบกับท่านและพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสวมทับท่าน และท่านก็เผยพระวจนะอยู่ในหมู่พวกเขา
1ซมอ. 10:11 และเมื่อคนทั้งปวงที่รู้จักท่านมาก่อนเห็นท่านเผยพระวจนะอยู่กับพวกผู้เผยพระวจนะ ประชาชนเหล่านั้นก็พูดกันและกันว่า “อะไรหนอเกิดขึ้นแก่บุตรชายของคีช? ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
1ซมอ. 10:12 ชายคนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นตอบว่า “และบิดาของพวกเขาคือใคร?” ดังนั้นจึงเป็นคำภาษิตว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
1ซมอ. 10:13 เมื่อท่านเผยพระวจนะเสร็จแล้วท่านก็มายังปูชนียสถานสูง
1ซมอ. 15:10 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังซามูเอลว่า
1ซมอ. 15:23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์”
1ซมอ. 15:26 และซามูเอลทูลซาอูลว่า “ข้าพเจ้าจะไม่กลับไปกับท่าน เพราะท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์ทรงถอดท่านจากเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล”
1ซมอ. 19:20 ซาอูลก็ทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปจับดาวิด และเมื่อเขาเห็นหมู่ผู้เผยพระวจนะกำลังเผยพระวจนะอยู่ และซามูเอลยืนเป็นหัวหน้าพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้าก็สวมทับพวกผู้สื่อสารของซาอูล และพวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย
1ซมอ. 19:21 เมื่อมีคนไปทูลซาอูล พระองค์ก็ทรงส่งพวกผู้สื่อสารอื่นไป และคนเหล่านั้นก็เผยพระวจนะด้วย ซาอูลทรงส่งพวกผู้สื่อสารไปอีกครั้งที่สาม พวกเขาก็เผยพระวจนะด้วย
1ซมอ. 19:23 พระองค์จึงเสด็จไปที่นั่นยังนาโยทในเมืองรามาห์ และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาเหนือพระองค์ด้วย ทรงดำเนินเรื่อยไปและทรงเผยพระวจนะจนเสด็จถึงนาโยทที่เมืองรามาห์
1ซมอ. 19:24 พระองค์ทรงถอดฉลองพระองค์ออก และก็ทรงเผยพระวจนะด้วยต่อหน้าซามูเอล และบรรทมเปลือยกายอยู่ตลอดวันนั้นและตลอดคืนนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงพูดกันว่า “ซาอูลอยู่ในจำพวกผู้เผยพระวจนะด้วยหรือ?”
1ซมอ. 22:5 แล้วผู้เผยพระวจนะกาดพูดกับดาวิดว่า “ท่านอย่าอยู่ในที่กำบังเข้มแข็งนี้เลย จงเข้าไปในแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดาวิดก็ไปและมาอยู่ในป่าเฮเรท
1ซมอ. 28:6 และเมื่อซาอูลทูลถามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ
1ซมอ. 28:15 แล้วซามูเอลพูดกับซาอูลว่า “ท่านรบกวนเราด้วยเรียกเราขึ้นมาทำไม?” ซาอูลทรงตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนัก เพราะพวกฟีลิสเตียกำลังมาทำสงครามกับข้าพเจ้า และพระเจ้าทรงหันจากข้าพเจ้าเสียแล้ว ไม่ได้ทรงตอบข้าพเจ้าอีกเลย ไม่ว่าโดยผู้เผยพระวจนะหรือโดยความฝัน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้เรียกท่านขึ้นมา เพื่อท่านจะได้แจ้งข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะทำประการใดดี”
2ซมอ. 7:2 พระราชาตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า “ดูสิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบของพระเจ้าอยู่ในเต็นท์”
2ซมอ. 7:4 แต่ต่อมาในคืนวันนั้น พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงนาธันว่า
2ซมอ. 7:25 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้า พระวจนะซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับผู้รับใช้ของพระองค์ และเกี่ยวกับราชวงศ์ของเขา ขอพระวจนะนั้นมั่นคงอยู่เป็นนิตย์ และทรงทำดังที่พระองค์ตรัสไว้
2ซมอ. 7:28 และบัดนี้ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง และพระองค์ตรัสสิ่งดีนี้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์
2ซมอ. 12:9 ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์? ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าประหารอุรียาห์คนฮิตไทต์ด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของเจ้า และฆ่าเขาเสียด้วยดาบของคนอัมโมน
2ซมอ. 12:25 และทรงใช้นาธันผู้เผยพระวจนะไป ท่านจึงให้ชื่อพระราชโอรสนั้นว่า เยดีดิยาห์ เพราะเห็นแก่พระยาห์เวห์
2ซมอ. 24:11 และเมื่อดาวิดทรงลุกขึ้นในตอนเช้า พระวจนะของพระยาห์เวห์ก็มายังกาดผู้เผยพระวจนะผู้ทำนายของดาวิดว่า
1พกษ. 1:8 แต่ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา นาธันผู้เผยพระวจนะ ชิเมอีและเรอี อีกทั้งพวกทหารเอกของดาวิดไม่ได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์
1พกษ. 1:10 แต่ท่านไม่ได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ หรือเบไนยาห์หรือพวกทหารเอก หรือซาโลมอนพระอนุชาของท่าน
1พกษ. 1:22 ขณะที่พระนางกำลังกราบทูลพระราชาอยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็เข้ามา
1พกษ. 1:23 เขาทั้งหลายจึงทูลพระราชาว่า “นี่คือนาธันผู้เผยพระวจนะ” เมื่อนาธันเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา เขาก็ซบหน้าลงถึงดินถวายบังคมพระราชา
1พกษ. 1:32 พระราชาดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดามาหาเรา” เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา
1พกษ. 1:34 และให้ศาโดกปุโรหิตและนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วท่านทั้งหลายจงเป่าเขาสัตว์ และประกาศว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ’
1พกษ. 1:38 ดังนั้นศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไปจัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน
1พกษ. 1:44 และพระราชามีรับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดากับคนเคเรธีและคนเปเลทตามซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชา
1พกษ. 1:45 และศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอนเป็นกษัตริย์ ณ น้ำพุกีโฮน และเขาทั้งหลายก็ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน
1พกษ. 2:4 เพื่อพระยาห์เวห์จะสถาปนาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัดระวังที่จะดำเนินในทางของเขาต่อหน้าเรา ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาแล้ว เจ้าจะไม่ขาดทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล’
1พกษ. 2:27 ซาโลมอนจึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระยาห์เวห์ ดังนั้นทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์
1พกษ. 6:11 และพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า
1พกษ. 11:29 ต่อมาในเวลานั้นเมื่อเยโรโบอัมออกจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ได้พบท่านกลางทาง อาหิยาห์คลุมกายด้วยเสื้อคลุมใหม่ และทั้งสองคนก็อยู่ลำพังในทุ่งนา
1พกษ. 12:15 พระราชาไม่ทรงฟังประชาชน เพราะการแปรเปลี่ยนนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์ เพื่อพระองค์จะทรงทำให้พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรเนบัท
1พกษ. 12:22 แต่พระวจนะของพระเจ้ามายังเชไมอาห์คนของพระเจ้าว่า
1พกษ. 12:24 ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับประชาชนอิสราเอลพี่น้องของเจ้าเลย ทุกคนจงกลับบ้านของตนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’ ” แล้วพวกเขาจึงเชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และกลับไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์
1พกษ. 13:1 และนี่แน่ะ ขณะที่เยโรโบอัมทรงยืนอยู่ที่แท่นบูชาเพื่อเผาเครื่องหอม คนของพระเจ้าคนหนึ่งออกจากยูดาห์ไปยังเบธเอล โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์
1พกษ. 13:2 แล้วท่านได้ร้องกล่าวโทษแท่นบูชานั้นโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า “โอ แท่นบูชา แท่นบูชา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘นี่แน่ะ เด็กชายคนหนึ่งชื่อโยสิยาห์จะเกิดมาในราชวงศ์ของดาวิด และบนเจ้า คือบนแท่นนี้ เขาจะฆ่าปุโรหิตแห่งปูชนียสถานสูงผู้เผาเครื่องหอมบนเจ้า และเขาจะเผากระดูกคนบนเจ้า’ ”
1พกษ. 13:5 แท่นบูชาก็ถูกพังทลาย และขี้เถ้าก็ถูกเทจากแท่น มันเกิดขึ้นตามหมายสำคัญที่คนของพระเจ้าให้ไว้โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์
1พกษ. 13:9 เพราะพระยาห์เวห์ทรงบัญชาข้าพระบาท โดยพระวจนะของพระองค์ว่า ‘อย่ากินอาหาร หรือดื่มน้ำ หรือกลับไปตามทางที่เจ้ามา’ ”
1พกษ. 13:11 มีผู้เผยพระวจนะอาวุโสคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเบธเอล บุตรชายของเขามาเล่าให้ฟังถึงทุกอย่างที่คนของพระเจ้าทำในวันนั้นที่เบธเอล พวกเขายังได้บอกบิดาของเขา เรื่องถ้อยคำที่คนของพระเจ้ากล่าวกับพระราชาด้วย
1พกษ. 13:17 เพราะพระวจนะของพระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น หรือกลับไปตามทางที่เจ้ามา’ ”
1พกษ. 13:18 เขาจึงพูดกับท่านว่า “ข้าพเจ้าก็เป็นผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับท่านด้วย มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาบอกข้าพเจ้าโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ว่า ‘จงพาเขากลับบ้านกับเจ้า เพื่อเขาจะได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำ’ ” แต่เขาโกหกท่าน
1พกษ. 13:20 ขณะที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังผู้เผยพระวจนะผู้นำท่านกลับมา
1พกษ. 13:21 และเขาร้องต่อคนของพระเจ้าผู้มาจากยูดาห์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และไม่รักษาพระบัญญัติที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้า
1พกษ. 13:23 ต่อมาหลังจากท่านได้รับประทานอาหารและดื่มน้ำแล้ว เขาก็ผูกอานลาให้ผู้เผยพระวจนะผู้ที่เขาได้พากลับมา
1พกษ. 13:25 และนี่แน่ะ มีคนผ่านไปเห็นศพทิ้งอยู่ข้างทาง และสิงโตยืนอยู่ข้างศพนั้น พวกเขาก็มาบอกกันในเมืองที่ผู้เผยพระวจนะอาวุโสอยู่นั้น
1พกษ. 13:26 เมื่อผู้เผยพระวจนะผู้ที่นำท่านกลับมาจากทางทราบเรื่อง เขาก็พูดว่า “นั่นคือคนของพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงมอบท่านไว้กับสิงโต ซึ่งได้กัดฉีกท่านและฆ่าท่านตามพระวจนะซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสกับท่าน”
1พกษ. 13:29 ผู้เผยพระวจนะก็เอาศพคนของพระเจ้าขึ้นวางบนลา แล้วนำกลับมายังเมืองของตนเอง เพื่อไว้ทุกข์ให้และฝังท่านเสีย
1พกษ. 13:32 เพราะว่าถ้อยคำที่ท่านประกาศโดยพระวจนะของพระยาห์เวห์ กล่าวโทษแท่นบูชาในเบธเอล และกล่าวโทษนิเวศทุกแห่งของปูชนียสถานสูงซึ่งอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรีย จะสำเร็จอย่างแน่นอน”
1พกษ. 14:2 และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นมเหสีของเยโรโบอัม และจงไปเมืองชีโลห์ นี่แน่ะ อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่น ผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้
1พกษ. 14:18 แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ
1พกษ. 16:1 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาถึงเยฮูบุตรฮานานี กล่าวโทษบาอาชาว่า
1พกษ. 16:7 ยิ่งกว่านั้นอีก พระวจนะของพระยาห์เวห์ได้มาโดยผู้เผยพระวจนะเยฮูบุตรฮานานี กล่าวโทษบาอาชาและเชื้อวงศ์ของพระองค์ ทั้งเรื่องความชั่วทุกอย่างซึ่งทรงทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ คือทำให้พระองค์กริ้วด้วยพระราชกิจแห่งพระหัตถ์ของพระราชา ที่เป็นเหมือนกับราชวงศ์ของเยโรโบอัม และเรื่องที่บาอาชาทรงทำลายราชวงศ์นั้นด้วย
1พกษ. 16:12 ดังนั้นศิมรีทรงทำลายราชวงศ์ของบาอาชาจนสิ้น ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งทรงกล่าวโทษบาอาชาโดยเยฮูผู้เผยพระวจนะ
1พกษ. 16:34 ในรัชกาลของพระองค์ ฮีเอลชาวเบธเอลได้สร้างเมืองเยรีโค ท่านได้วางรากฐานเมืองนั้นโดยต้องเสียอาบีรัมบุตรหัวปีของท่าน และตั้งประตูเมืองโดยต้องเสียเสกุบบุตรสุดท้องของท่าน ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางโยชูวาบุตรนูน
1พกษ. 17:2 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังท่านว่า
1พกษ. 17:5 ท่านจึงไปและทำตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ท่านไปอาศัยอยู่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน
1พกษ. 17:8 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเอลียาห์ว่า
1พกษ. 17:16 แป้งในหม้อก็ไม่ขาด และน้ำมันในไหก็ไม่หมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสทางเอลียาห์
1พกษ. 17:24 และหญิงนั้นพูดกับเอลียาห์ว่า “ตอนนี้ดิฉันทราบแล้วว่าท่านเป็นคนของพระเจ้า และพระวจนะของพระยาห์เวห์จากปากของท่านเป็นความจริง”
1พกษ. 18:1 และหลายวันต่อมา พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเอลียาห์ในปีที่สามว่า “จงไปปรากฏตัวต่ออาหับ และเราจะส่งฝนลงมายังพื้นดิน”
1พกษ. 18:4 เมื่อเยเซเบลกำจัดผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ โอบาดีห์ได้นำผู้เผยพระวจนะ 100 คนซ่อนไว้ตามถ้ำ แห่งละ 50 คน และเลี้ยงเขาทั้งหลายด้วยอาหารและน้ำ)
1พกษ. 18:13 ไม่มีใครเรียนท่านหรือว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรเมื่อเยเซเบลประหารผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ซ่อนผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ 100 คนไว้ตามถ้ำ แห่งละ 50 คน และเลี้ยงเขาด้วยอาหารและน้ำ
1พกษ. 18:19 เพราะฉะนั้น ขอทรงสั่งให้รวบรวมชนอิสราเอลทั้งสิ้น มาพบข้าพระบาทที่ภูเขาคารเมล ทั้งผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล 450 คนกับผู้เผยพระวจนะของพระอาเช-ราห์ 400 คนนั้น ผู้รับประทานที่โต๊ะเสวยของพระนางเยเซเบล”
1พกษ. 18:20 ดังนั้น อาหับทรงส่งข่าวไปยังคนอิสราเอลทั้งหมด และชุมนุมผู้เผยพระวจนะที่ภูเขาคารเมล
1พกษ. 18:22 แล้วเอลียาห์พูดกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าผู้เดียวเป็นผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่เหลืออยู่ แต่ผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลมี 450 คน
1พกษ. 18:25 แล้วเอลียาห์พูดกับพวกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลว่า “จงเลือกวัวผู้ตัวหนึ่งสำหรับพวกท่านและตระเตรียมก่อน เพราะพวกท่านมีมาก จงร้องออกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าใส่ไฟ”
1พกษ. 18:29 และเมื่อผ่านเที่ยงวันไปแล้ว พวกเขาก็พร่ำเผยพระวจนะต่อไป จนถึงเวลาถวายบูชาตอนเย็น แต่ไม่มีเสียง ไม่มีใครตอบ ไม่มีใครฟัง
1พกษ. 18:31 เอลียาห์นำศิลาสิบสองก้อนมา ตามจำนวนเผ่าบุตรชายของยาโคบ ผู้ซึ่งพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงว่า “อิสราเอลจะเป็นชื่อของเจ้า”
1พกษ. 18:36 และต่อมาเมื่อถึงเวลาถวายบูชา เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะก็เข้ามาใกล้ ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล ขอให้เขาทราบเสียทั่วกันในวันนี้ว่า พระองค์คือพระเจ้าในอิสราเอล และข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้นตามพระดำรัสของพระองค์
1พกษ. 18:40 และเอลียาห์บอกเขาทั้งหลายว่า “จงจับผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล อย่าให้หนีไปได้สักคนเดียว” และประชาชนก็ไปจับพวกเขามา และเอลียาห์ก็นำพวกเขามาที่ลำธารคีโชน และฆ่าเขาเสียที่นั่น
1พกษ. 19:1 อาหับจึงบอกเยเซเบลทุกสิ่งที่เอลียาห์ได้ทำ รวมทั้งเรื่องที่ท่านฆ่าผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้นของพระบาอัลด้วยดาบ
1พกษ. 19:9 ที่นั่นท่านมาถึงถ้ำแห่งหนึ่งและเข้าพักอยู่ และนี่แน่ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงท่าน และพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?”
1พกษ. 19:10 ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก เพราะประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้พังแท่นบูชาของพระองค์ และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายมุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์”
1พกษ. 19:14 ท่านทูลว่า “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนอิสราเอลได้ทอดทิ้งพันธสัญญาของพระองค์ ได้พังแท่นบูชาของพระองค์ลงเสีย และประหารผู้เผยพระวจนะของพระองค์เสียด้วยดาบ และข้าพระองค์ ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่ และเขาทั้งหลายมุ่งเอาชีวิตข้าพระองค์”
1พกษ. 19:16 และเยฮูบุตรนิมซีนั้น จงเจิมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และเอลีชาบุตรชาฟัทชาวอาเบลเมโฮลาห์ จงเจิมให้เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า
1พกษ. 20:13 นี่แน่ะ ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เข้ามาใกล้อาหับกษัตริย์แห่งอิสราเอลทูลว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า เจ้าเห็นกองทัพใหญ่นี้หรือ? นี่แน่ะ เราจะมอบไว้ในมือของเจ้าในวันนี้ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์”
1พกษ. 20:22 แล้วผู้เผยพระวจนะคนนั้นได้เข้ามาใกล้กษัตริย์แห่งอิสราเอล ทูลพระองค์ว่า “ไปเถิด ขอเสริมกำลังของพระองค์ และตรึกตรองดูว่า พระองค์จะทรงทำประการใด เพราะในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า กษัตริย์แห่งซีเรียจะยกกองทัพมาสู้กับพระองค์อีก”
1พกษ. 20:35 มีคนหนึ่งในกลุ่มผู้เผยพระวจนะพูดกับเพื่อนของตน ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์ว่า “ได้โปรดเถอะ ขอตีข้าที” แต่ชายคนนั้นก็ปฏิเสธไม่ยอมตีท่าน
1พกษ. 20:38 ผู้เผยพระวจนะนั้นจึงจากไป และคอยพบพระราชาอยู่ที่หนทาง โดยปลอมตัวเอาผ้าพันตา
1พกษ. 20:41 แล้วท่านก็รีบเอาผ้าพันตาออกเสีย และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็จำท่านได้ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง
1พกษ. 21:17 แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
1พกษ. 21:27 และต่อมาเมื่ออาหับทรงได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์ ทรงสวมผ้ากระสอบ ถืออดอาหาร บรรทมในผ้ากระสอบ และทรงดำเนินไปมาด้วยความสำนึกผิด
1พกษ. 21:28 และพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเอลียาห์ชาวทิชบีว่า
1พกษ. 22:6 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็ทรงเรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะประมาณ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่เราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
1พกษ. 22:7 แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ ที่เราจะถามได้?”
1พกษ. 22:10 พระราชาแห่งอิสราเอลและเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ต่างประทับบนพระที่นั่ง ทรงฉลองพระองค์เยี่ยงกษัตริย์ ณ ลานนวดข้าว ตรงทางเข้าประตูเมืองสะมาเรีย และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์เฉพาะพระพักตร์ทั้งสองพระองค์
1พกษ. 22:12 และผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็พยากรณ์อย่างนั้นทูลว่า “ขอเสด็จไปราโมทกิเลอาดเถิด และมีชัยชนะ เพราะพระยาห์เวห์จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
1พกษ. 22:13 และผู้สื่อสารที่ไปเรียกมีคายาห์ได้บอกท่านว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะก็พูดสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระราชาเป็นเสียงเดียวกัน ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น และพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล”
1พกษ. 22:19 และมีคายาห์ทูลว่า “ฉะนั้น ขอทรงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ ข้าพระบาทได้เห็นพระยาห์เวห์ประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ และบริวารทั้งหมดแห่งฟ้าสวรรค์ยืนข้างๆ พระองค์ ทั้งทางข้างขวาและข้างซ้ายพระหัตถ์
1พกษ. 22:22 และมันทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะออกไป และจะเป็นวิญญาณมุสาอยู่ในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของเขา’ และพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าไปชักนำเขาได้ และเจ้าจะทำสำเร็จ จงไปทำตามนั้นเถิด’
1พกษ. 22:23 ฉะนั้น ดูสิ พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้ของฝ่าพระบาท พระยาห์เวห์ได้ตรัสเรื่องร้ายเกี่ยวกับฝ่าพระบาท”
1พกษ. 22:38 เขาล้างรถรบที่สระน้ำแห่งสะมาเรีย ที่ที่พวกหญิงโสเภณีลงอาบน้ำและแล้วพวกสุนัขก็เลียโลหิตของพระองค์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้
2พกษ. 1:16 และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้ส่งผู้สื่อสารไปถามพระบาอัลเซบูบ พระแห่งเอโครน เนื่องจากไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลให้ทูลถามพระวจนะของพระองค์อย่างนั้นหรือ? เพราะฉะนั้น เจ้าจะไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่เจ้าจะต้องตายแน่’ ”
2พกษ. 1:17 ดังนั้นอาหัสยาห์ก็สิ้นพระชนม์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งเอลียาห์กล่าวนั้น และโยรัมได้ขึ้นครองราชย์แทน ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลเยโฮรัม พระราชโอรสของเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์ เพราะอาหัสยาห์ไม่มีโอรส
2พกษ. 2:3 และเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเบธเอลได้ออกมาหาเอลีชา และบอกท่านว่า “ท่านทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับอาจารย์ของท่านไปจากท่าน?” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว เงียบๆ ไว้”
2พกษ. 2:5 และเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้อยู่ในเมืองเยรีโคเข้ามาใกล้เอลีชาและพูดกับท่านว่า “ท่านทราบไหมว่า วันนี้พระยาห์เวห์จะทรงรับอาจารย์ของท่านไปจากท่าน?” ท่านตอบว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้ว เงียบๆ ไว้”
2พกษ. 2:7 คน 50 คนจากกลุ่มผู้เผยพระวจนะก็ไปด้วยเช่นกัน และยืนอยู่ไกลออกไป ส่วนท่านทั้งสองยืนอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน
2พกษ. 2:15 เมื่อเหล่าผู้เผยพระวจนะที่อยู่เมืองเยรีโคเห็นท่านอยู่แต่ไกล เขาทั้งหลายพูดว่า “ฤทธิ์เดชของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” และเขาทั้งหลายมาพบท่าน แล้วโน้มตัวลงถึงดินคำนับท่าน
2พกษ. 3:11 แต่เยโฮชาฟัทตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ เพื่อเราจะให้เขาทูลถามพระยาห์เวห์หรือ?” แล้วข้าราชการคนหนึ่งของพระราชาอิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ พ่ะย่ะค่ะ เขาเคยเป็นคนรับใช้ของเอลียาห์”
2พกษ. 3:12 และเยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่กับเขา” พระราชาแห่งอิสราเอล เยโฮชาฟัท และพระราชาแห่งเอโดมจึงเสด็จลงไปหาท่าน
2พกษ. 3:13 เอลีชาทูลพระราชาแห่งอิสราเอลว่า “ข้าพระบาทมีอะไรเกี่ยวข้องกับฝ่าพระบาทหรือ? เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของฝ่าพระบาทเถิด” แต่พระราชาแห่งอิสราเอลตรัสกับท่านว่า “ไม่ไป เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกกษัตริย์ทั้งสามนี้มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ”
2พกษ. 4:1 ภรรยาของคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะร้องทุกข์ต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่าน คือสามีของดิฉันเสียชีวิตแล้ว และท่านทราบอยู่แล้วว่าผู้รับใช้ของท่านเกรงกลัวพระยาห์เวห์ แต่เจ้าหนี้ได้มาเพื่อจะเอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาสของเขา”
2พกษ. 4:38 เมื่อเอลีชากลับมาที่กิลกาล แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร และเมื่อพวกผู้เผยพระวจนะนั่งอยู่ต่อหน้าท่าน ท่านก็บอกคนใช้ของท่านว่า “จงตั้งหม้อใบใหญ่และต้มอาหารให้พวกผู้เผยพระวจนะ”
2พกษ. 4:44 เขาจึงตั้งอาหารไว้ต่อหน้าเขาทั้งหลาย พวกเขาได้กิน และยังเหลืออยู่จริงตามพระวจนะของพระยาห์เวห์
2พกษ. 5:3 เธอได้เรียนนายผู้หญิงของเธอว่า “เพียงแค่นายผู้ชายไปอยู่กับผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในสะมาเรีย แล้วท่านจะได้รักษาโรคเรื้อนของเจ้านายเสียให้หาย
2พกษ. 5:8 แต่เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่า พระราชาแห่งอิสราเอลฉีกฉลองพระองค์ จึงใช้คนไปทูลพระราชาว่า “ทำไมฝ่าพระบาทจึงฉีกฉลองพระองค์? ให้เขามาหาข้าพระบาทเถิด แล้วเขาจะรู้ว่า มีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล”
2พกษ. 5:13 แต่พวกข้าราชการของท่านเข้ามาใกล้ และทัดทานท่านว่า “บิดาของข้าพเจ้า ถ้าผู้เผยพระวจนะจะสั่งให้ท่านทำสิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ท่านจะไม่ทำหรือ? ถ้าเช่นนั้นเมื่อผู้เผยพระวจนะสั่งท่านว่า ‘จงไปล้าง และสะอาดเถิด’ ท่านยิ่งควรจะทำสักเท่าไร?”
2พกษ. 5:22 เขาตอบว่า “เรียบร้อยดี นายข้าได้ใช้ข้ามา เรียนว่า ‘ชายหนุ่มสองคนในกลุ่มผู้เผยพระวจนะจากแดนเทือกเขาเอฟราอิมมาหาเรา โปรดให้เงินพวกเขาสักหนึ่งตะลันต์ และเสื้อเที่ยวงานสัก 2 ชุด’ ”
2พกษ. 6:1 พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวกับเอลีชาว่า “ดูซิ สถานที่ที่พวกเราอยู่กับท่านนั้นก็เล็กเกินไป
2พกษ. 6:12 ข้าราชการคนหนึ่งของพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพระบาท ไม่มีใคร พ่ะย่ะค่ะ แต่เอลีชาผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในอิสราเอล เขาได้ทูลถ้อยคำ ซึ่งพระองค์ตรัสในห้องบรรทมของพระองค์แก่พระราชาแห่งอิสราเอล”
2พกษ. 7:1 แต่เอลีชาทูลว่า “ขอฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้ แป้งอย่างดีถังหนึ่งเขาจะขายกันหนึ่งเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย”
2พกษ. 7:16 แล้วประชาชนก็ยกออกไปปล้นค่ายของคนซีเรีย แป้งอย่างดีจึงขายกันถังละเชเขล และข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขล ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์
2พกษ. 9:1 แล้วเอลีชาผู้เผยพระวจนะได้เรียกคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ และพูดกับเขาว่า “จงคาดเอวของเจ้าไว้ ถือน้ำมันขวดนี้ไปที่ราโมทกิเลอาด
2พกษ. 9:4 คนหนุ่มนั้นคือคนหนุ่มที่เป็นผู้เผยพระวจนะ จึงไปยังราโมทกิเลอาด
2พกษ. 9:7 และเจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะเอาโทษเยเซเบล เพราะโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา และเพราะโลหิตของผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์
2พกษ. 9:26 พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เราเห็นโลหิตของนาโบทและโลหิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราจะตอบสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ ฉะนั้นจงยกเขาขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้แหละ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์”
2พกษ. 9:36 เมื่อพวกเขากลับมาเรียนเยฮู ท่านก็กล่าวว่า “นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า สุนัขจะกินเนื้อของเยเซเบลในเขตยิสเรเอล
2พกษ. 10:10 จงทราบเถิดว่า พระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับราชวงศ์ของอาหับจะไม่ตกดินแต่อย่างใดเลย เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำตามที่ตรัสทางเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์”
2พกษ. 10:17 เมื่อมาถึงสะมาเรีย พระองค์ทรงประหารทุกคนในราชวงศ์ของอาหับที่เหลืออยู่ในสะมาเรียจนหมด ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสกับเอลียาห์
2พกษ. 10:19 ฉะนั้นจงเรียกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลมาให้หมด ทั้งผู้นมัสการและปุโรหิตทั้งหมดของพระบาอัล อย่าให้ใครขาดไปเลย เพราะเราจะมีการถวายสัตวบูชาครั้งใหญ่แก่พระบาอัล ใครขาดก็จะไม่ให้มีชีวิตอยู่” แต่เยฮูทรงทำเป็นอุบายเพื่อจะทำลายผู้นมัสการพระบาอัล
2พกษ. 14:25 พระองค์ทรงตีเอาดินแดนอิสราเอลคืนมา ตั้งแต่ทางเข้าเมืองฮามัท ไกลไปจนถึงทะเลแห่งอาราบาห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์ คือโยนาห์บุตรอามิททัยผู้เผยพระวจนะผู้มาจากกัธเฮเฟอร์
2พกษ. 15:12 (เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสแก่เยฮูว่า “เชื้อสายของเจ้าจะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอลถึงสี่ชั่วอายุคน” และก็เป็นดังนั้น)
2พกษ. 17:13 พระยาห์เวห์ยังทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์ ทางผู้เผยวจนะทุกคนและผู้ทำนายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้งหลายของเจ้า และรักษาพระบัญญัติของเราและกฎเกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้นซึ่งเราได้บัญชาแก่บรรพบุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าทางผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา”
2พกษ. 17:23 จนพระยาห์เวห์ทรงให้อิสราเอลออกไปพ้นพระพักตร์ของพระองค์ ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ อิสราเอลจึงถูกกวาดจากแผ่นดินของตนไปเป็นเชลยในอัสซีเรียจนทุกวันนี้
2พกษ. 18:28 แล้วรับชาเคห์ยืนตะโกนเสียงดังเป็นภาษายูดาห์ว่า “จงฟังพระวจนะของพระมหาราชา คือพระราชาแห่งอัสซีเรีย
2พกษ. 19:2 และพระองค์ทรงใช้เอลียาคิมเจ้ากรมวัง เชบนาห์ราชเลขาและพวกปุโรหิตอาวุโสคลุมตัวด้วยผ้ากระสอบ ไปหาผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอส
2พกษ. 19:21 ต่อไปนี้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัสเกี่ยวกับท่านนั้นว่า ‘ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน ดูถูกเจ้า และเย้ยเจ้า ธิดาแห่งเยรูซาเล็มสั่นศีรษะตามหลังใส่เจ้า
2พกษ. 20:1 ในเวลานั้น เฮเซคียาห์ประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงจัดการบ้านเมืองของเจ้าให้เรียบร้อย เจ้ากำลังจะตายและไม่ฟื้น’ ”
2พกษ. 20:4 และก่อนที่อิสยาห์จะออกไปถึงลานกลาง พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงท่านว่า
2พกษ. 20:11 และอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงนำเงาซึ่งเลยไปในนาฬิกาแดดของอาหัสย้อนกลับมาสิบขั้น
2พกษ. 20:14 แล้วอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะก็เข้าเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ และทูลพระองค์ว่า “คนเหล่านี้ทูลอะไรบ้าง? และเขามาเฝ้าพระองค์จากที่ไหน?” และเฮเซคียาห์ตรัสว่า “เขามาจากเมืองไกลคือจากบาบิโลน”
2พกษ. 20:16 แล้วอิสยาห์ทูลเฮเซคียาห์ว่า “จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์
2พกษ. 20:19 แล้วเฮเซคียาห์ตรัสกับอิสยาห์ว่า “พระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นดีแล้ว” ที่ตรัสอย่างนี้เพราะทรงคิดว่า “ก็ดีแล้วมิใช่หรือ? ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในสมัยของเรา”
2พกษ. 21:10 และพระยาห์เวห์ตรัสทางพวกผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า
2พกษ. 22:14 ฮิลคียาห์ปุโรหิต และอาหิคัม และอัคโบร์ และชาฟาน และอาสายาห์ จึงไปหาฮุลดาห์ผู้เผยพระวจนะหญิงผู้เป็นภรรยาของชัลลูม บุตรของทิกวาห์บุตรฮารฮัสผู้ดูแลเสื้อผ้า (นางอยู่ในเยรูซาเล็มเขตสอง) และพวกเขาได้สนทนากับนาง
2พกษ. 22:20 เพราะฉะนั้น ดูสิ เราจะนำเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า และเจ้าจะถูกนำไปยังอุโมงค์ฝังศพของเจ้าอย่างสงบสุข และตาของเจ้าจะไม่เห็นเหตุร้ายทั้งสิ้นที่เราจะนำมายังสถานที่นี้’ ” และเขาทั้งหลายได้นำพระวจนะนั้นมาทูลพระราชา
2พกษ. 23:2 พระราชาเสด็จขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ พร้อมกับคนยูดาห์ทั้งหมด และชาวกรุงเยรูซาเล็มทั้งสิ้น รวมทั้งพวกปุโรหิต และพวกผู้เผยพระวจนะ กับประชาชนทั้งหมดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ และพระองค์ทรงอ่านถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ให้พวกเขาฟัง
2พกษ. 23:16 และเมื่อโยสิยาห์ทรงหันไป ทอดพระเนตรอุโมงค์ฝังศพซึ่งอยู่บนภูเขา พระองค์ทรงใช้ให้ไปเอากระดูกออกมาจากอุโมงค์ และเผาเสียบนแท่นบูชา และทรงทำให้เสียความศักดิ์สิทธิ์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งคนของพระเจ้าผู้ซึ่งป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้ได้ป่าวร้องไว้
2พกษ. 23:18 และพระองค์ตรัสว่า “ให้เขาอยู่ที่นั่นแหละ อย่าให้ใครย้ายกระดูกของเขา” เขาทั้งหลายจึงทิ้งกระดูกของเขาไว้อย่างนั้น พร้อมกับกระดูกของผู้เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย
2พกษ. 24:2 และพระยาห์เวห์ทรงใช้คนเคลเดีย คนซีเรีย คนโมอับและคนอัมโมนมาต่อสู้กับเยโฮยาคิม และทรงใช้เขาทั้งหลายไปต่อสู้ยูดาห์เพื่อจะทำลายเสีย ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์
1พศด. 16:15 จงจดจำพันธสัญญาของพระองค์อยู่เป็นนิตย์ คือพระวจนะที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ตลอดหนึ่งพันชั่วอายุคน
1พศด. 16:22 ว่า “อย่าแตะต้องผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายผู้เผยพระวจนะของเรา”
1พศด. 17:1 อยู่มาเมื่อดาวิดประทับในพระราชวังของพระองค์ ดาวิดตรัสกับนาธันผู้เผยพระวจนะว่า “ดูสิ เราอยู่ในบ้านทำด้วยไม้สนสีดาร์ แต่หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์อยู่ภายใต้ม่านเต็นท์”
1พศด. 17:3 แต่ต่อมาในคืนวันนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้ามาถึงนาธันว่า
1พศด. 25:1 ดาวิดและบรรดาผู้บัญชาการของกองทัพจัดแยกบางคนเพื่อการปรนนิบัติคือบุตรของอาสาฟ ของเฮมาน และของเยดูธูน ผู้ซึ่งจะเผยพระวจนะด้วยพิณเขาคู่ ด้วยพิณใหญ่และด้วยฉาบ จำนวนคนทำงานตามการปรนนิบัติของพวกเขาคือ
1พศด. 25:2 จากบุตรของอาสาฟคือศักเกอร์ โยเซฟ เนธานิยาห์ และอาชาเรลาห์ บุตรของอาสาฟ ภายใต้การนำของอาสาฟ ผู้เผยพระวจนะภายใต้การทรงนำของพระราชา
1พศด. 25:3 จากเยดูธูนคือ บุตรของเยดูธูนมี เกดาลิยาห์ เศรี เยชายาห์ ชิเมอี ฮาชาบิยาห์ และมัททีธิยาห์ รวม 6 คนภายใต้การนำของเยดูธูน บิดาของพวกเขา ผู้เผยพระวจนะด้วยพิณเขาคู่ในการขอบพระคุณและสรรเสริญต่อพระยาห์เวห์
1พศด. 29:29 ส่วนพระราชกิจของกษัตริย์ดาวิด ตั้งแต่ต้นจนที่สุด มีเขียนไว้ในบันทึกของซามูเอลผู้ทำนาย และในบันทึกของนาธันผู้เผยพระวจนะ และในบันทึกของกาดผู้ทำนาย
2พศด. 9:29 ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของซาโลมอน ตั้งแต่ต้นจนจบได้บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ของนาธันผู้เผยพระวจนะ และในคำเผยพระวจนะของอาหิยาห์ชาวชีโลห์ รวมทั้งในนิมิตของอิดโดผู้ทำนายเกี่ยวกับเยโรโบอัมบุตรเนบัทไม่ใช่หรือ?
2พศด. 10:15 พระราชาจึงไม่ทรงฟังประชาชน เพราะเหตุการณ์นี้เป็นมาจากพระเจ้า เพื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำให้พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระองค์ตรัสโดยอาหิยาห์ชาวชีโลห์แก่เยโรโบอัมบุตรเนบัท
2พศด. 11:2 แต่พระวจนะของพระยาห์เวห์มายังเชไมอาห์ คนของพระเจ้าว่า
2พศด. 11:4 ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า พวกเจ้าอย่าขึ้นไปสู้รบกับพี่น้องของเจ้า จงกลับบ้านของตนทุกคนเถิด เพราะสิ่งนี้เป็นมาจากเรา’ ” แล้วพวกเขาจึงเชื่อฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ และกลับไปโดยไม่ได้สู้รบกับเยโรโบอัม
2พศด. 12:5 แล้วเชไมอาห์ผู้เผยพระวจนะมาเฝ้าเรโหโบอัมและพวกเจ้านายของยูดาห์ ซึ่งมาประชุมกันอยู่ที่เยรูซาเล็มเกี่ยวกับเรื่องชิชัก และท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งเรา เราจึงละทิ้งพวกเจ้าให้อยู่ในมือของชิชัก’ ”
2พศด. 12:7 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงเห็นว่า เขาทั้งหลายถ่อมตัวลง พระวจนะของพระเจ้าได้มาถึงเชไมอาห์ว่า “เขาทั้งหลายได้ถ่อมตัวลงแล้ว เราจะไม่ทำลายเขา แต่เราจะให้การช่วยกู้แก่พวกเขาบ้าง และพระพิโรธของเราจะไม่เทลงมาเหนือเยรูซาเล็มโดยมือของชิชัก
2พศด. 12:15 ส่วนพระราชกิจของเรโหโบอัมตั้งแต่ต้นจนจบ ได้บันทึกไว้ในหนังสือบันทึกของเชไมอาห์ผู้เผยพระวจนะ และของอิดโดผู้ทำนายตามแบบลำดับวงศ์ตระกูลไม่ใช่หรือ? มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมและเยโรโบอัมตลอดรัชสมัย
2พศด. 13:22 พระราชกิจอื่นๆ ของอาบียาห์ วิถีชีวิตและพระดำรัสของพระองค์บันทึกอยู่ในหนังสือคำสอนของผู้เผยพระวจนะอิดโด
2พศด. 15:8 เมื่ออาสาทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้ คือคำเผยพระวจนะของอาซาริยาห์บุตรโอเดดก็ทรงมีพระทัยกล้าหาญขึ้น พระองค์ทรงขจัดสิ่งน่าสะอิดสะเอียนจากแผ่นดินยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด และจากเมืองต่างๆ ที่พระองค์ทรงยึดมาในบริเวณเทือกเขาเอฟราอิม และพระองค์ทรงซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่อยู่หน้ามุขพระนิเวศของพระยาห์เวห์
2พศด. 18:5 แล้วพระราชาแห่งอิสราเอลก็เรียกประชุมพวกผู้เผยพระวจนะ 400 คน ตรัสกับพวกเขาว่า “ควรที่พวกเราจะไปตีราโมทกิเลอาดหรือไม่? หรือเราควรล้มเลิก?” และเขาทั้งหลายทูลตอบว่า “ขอเชิญเสด็จขึ้นไปเถิด เพราะพระเจ้าจะทรงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา”
7. จงอธิษฐานในพระวิญญาณ (จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ)
ปฐก. 20:7 บัดนี้ จงคืนภรรยาของชายนั้นไปเสีย เพราะเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ เขาจะอธิษฐานเพื่อเจ้า แล้วเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าเจ้าไม่คืน ก็จงรู้เถิดว่าเจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าเอง และทุกคนที่เป็นของเจ้า”
ปฐก. 20:17 อับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า พระเจ้าทรงรักษาอาบีเมเลค และมเหสีของพระองค์และทาสหญิงให้หาย สตรีเหล่านั้นก็คลอดบุตร
ปฐก. 24:12 เขาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่อับราฮัมนายของข้าพระองค์
ปฐก. 24:27 และอธิษฐานว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ผู้ไม่ได้ทรงทอดทิ้งความรักมั่นคง และความซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อนายของข้าพระองค์ ส่วนข้าพระองค์นั้นพระเจ้าทรงนำมาตามทางจนถึงบ้านหมู่ญาติของนายข้าพระองค์”
ปฐก. 25:21 อิสอัคอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อภรรยาของท่านเพราะนางเป็นหมัน พระเจ้าประทานตามคำอธิษฐานของท่าน เรเบคาห์ภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์
ปฐก. 32:9 ยาโคบอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้าของอับราฮัมปู่ของข้าพระองค์ และพระเจ้าของอิสอัคบิดาของข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ตรัสสั่งข้าพระองค์ไว้ว่า ‘กลับไปยังดินแดนของเจ้า และยังญาติพี่น้องของเจ้า เราจะทำดีแก่เจ้า’
อพย. 8:29 โมเสสจึงทูลว่า “เมื่อข้าพระบาททูลลาฝ่าพระบาทไป ข้าพระบาทจะอธิษฐานทูลพระยาห์เวห์ ขอให้ฝูงเหลือบไปจากฟาโรห์ จากข้าราชการและจากพลเมืองในเวลาพรุ่งนี้ แต่ขออย่าทรงกลับคำอีก ไม่ยอมปล่อยประชากรไปถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์”
อพย. 8:30 โมเสสทูลลาฟาโรห์ไป แล้วก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
กดว. 11:2 ประชาชนก็ร้องต่อโมเสส และโมเสสอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ แล้วไฟก็ดับ
ฉธบ. 9:20 พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธอาโรนมาก พระองค์จะทรงทำลายเขาเช่นกัน ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็อธิษฐานเผื่ออาโรนด้วย
ฉธบ. 9:26 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ขออย่าทรงทำลายประชากรของพระองค์และมรดกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่มาด้วยความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงนำออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์
1ซมอ. 1:10 นางขมขื่นใจมากจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์และร้องไห้อย่างหนัก
1ซมอ. 2:1 นางฮันนาห์อธิษฐานว่า “จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมในพระยาห์เวห์ ในพระยาห์เวห์ กำลังของข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง ปากของข้าพเจ้าหัวเราะพวกศัตรูของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายินดีในความรอดของพระองค์
1ซมอ. 7:5 แล้วซามูเอลพูดว่า “จงประชุมคนอิสราเอลทั้งสิ้นที่เมืองมิสปาห์ และข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อท่าน”
1ซมอ. 8:6 ถ้อยคำที่พวกเขาพูดว่า “ขอตั้งพระราชาให้วินิจฉัยเราทั้งหลาย” ทำให้ซามูเอลไม่พอใจ ซามูเอลจึงทูลอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
1ซมอ. 12:19 และประชาชนทั้งปวงพูดกับซามูเอลว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเผื่อผู้รับใช้ทั้งหลายของท่าน เพื่อพวกเราจะไม่ถึงตาย เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของพวกเรา คือขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา”
1ซมอ. 12:23 ยิ่งกว่านั้นส่วนข้าพเจ้าเองขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะทำบาปต่อพระยาห์เวห์ด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อพวกท่าน แต่ข้าพเจ้าจะชี้แนะทางที่ดีและที่ถูกต้องให้พวกท่าน
2ซมอ. 7:27 เพราะพระองค์ พระยาห์เวห์จอมทัพ พระเจ้าของอิสราเอล ได้ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ตรัสว่า ‘เราจะสร้างราชวงศ์ให้เจ้า’ เพราะฉะนั้น ผู้รับใช้ของพระองค์จึงมีใจกล้าวิงวอนต่อพระองค์ด้วยคำอธิษฐานนี้
2ซมอ. 21:14 และพวกเขาก็ฝังอัฐิของซาอูลและของโยนาธานโอรสของพระองค์ไว้ในแผ่นดินของเบนยามินในเมืองเศ-ลาในอุโมงค์ของคีชบิดาของพระองค์ พวกเขาก็ทำตามทุกอย่างที่พระราชาทรงบัญชาไว้ หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น
2ซมอ. 24:25 ดาวิดก็ทรงสร้างแท่นบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ที่นั่น และทรงถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวกับเครื่องศานติบูชา พระยาห์เวห์ทรงสดับคำอธิษฐานเพื่อแผ่นดินนั้น และโรคร้ายก็ถูกระงับเสียจากอิสราเอล
1พกษ. 8:28 แต่ขอพระองค์สนพระทัยในคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนของเขา ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ในวันนี้
1พกษ. 8:29 เพื่อพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดูพระนิเวศนี้ทั้งวันและคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’ เพื่อพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะอธิษฐานต่อสถานที่นี้
1พกษ. 8:30 และขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของ พระองค์ และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานต่อสถานที่นี้ ขอพระองค์เองทรงสดับจากสถานที่ประทับของพระองค์คือจากฟ้าสวรรค์ และเมื่อทรงสดับแล้ว ก็ขอทรงอภัย
1พกษ. 8:33 “เมื่ออิสราเอลประชากรของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ อธิษฐานและขอพระเมตตาต่อพระองค์ในพระนิเวศนี้
1พกษ. 8:35 “เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปของเขา เนื่องจากพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา
1พกษ. 8:38 แล้วหากคนหนึ่งคนใด หรืออิสราเอลประชากรทั้งหมดของพระองค์ ได้สำนึกในใจของเขาเรื่องภัยพิบัติ จะอธิษฐานหรือวิงวอนประการใด โดยกางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้
1พกษ. 8:42 (เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินถึงพระนามยิ่งใหญ่ และถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และถึงพระกรที่เหยียดออกของพระองค์) เมื่อเขามาอธิษฐานต่อพระนิเวศนี้
1พกษ. 8:44 “ถ้าประชากรของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรู โดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้พวกเขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ ตรงไปยังเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงไปยังพระนิเวศที่ข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์แล้ว
1พกษ. 8:45 ก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของพวกเขาในฟ้าสวรรค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา
1พกษ. 8:48 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ ในแผ่นดินแห่งศัตรูผู้จับเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงไปยังแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์แล้ว
1พกษ. 8:49 ก็ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาในฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา
1พกษ. 8:54 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐาน และคำวิงวอนทั้งสิ้นนี้ต่อพระยาห์เวห์แล้ว ก็ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่ที่ทรงคุกเข่าพร้อมกับกางพระหัตถ์สู่ฟ้าสวรรค์
1พกษ. 9:3 และพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเจ้า ซึ่งเจ้าได้อ้อนวอนเรานั้นแล้ว เราได้ทำนิเวศนี้ซึ่งเจ้าได้สร้างไว้ให้บริสุทธิ์ และได้ใส่นามของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์ ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป
1พกษ. 13:6 แล้วพระราชาตรัสตอบคนของพระเจ้าว่า “โปรดวิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อเรา แล้วเราจะชักมือกลับเข้าหาตัวได้อีก” และคนของพระเจ้าก็วิงวอนขอพระกรุณาแห่งพระยาห์เวห์ และพระราชาก็ชักพระหัตถ์กลับเข้าหาพระองค์ได้อีก และหายเป็นปกติ
2พกษ. 4:33 ท่านจึงเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นสองต่อสอง และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์
2พกษ. 6:17 แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงเปิดตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น” และพระยาห์เวห์ทรงเปิดตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็มองและเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงรอบเอลีชา
2พกษ. 6:18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ขอทรงให้คนเหล่านี้ตาบอด” พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำอธิษฐานของเอลีชา
2พกษ. 19:4 บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงได้ยินถ้อยคำทั้งสิ้นของรับชาเคห์ ผู้ที่พระราชาแห่งอัสซีเรียนายของเขาได้ส่งมาเยาะเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์จะทรงว่ากล่าวเขาด้วยเรื่องถ้อยคำซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงได้ยิน เพราะฉะนั้นขอท่านอธิษฐานเพื่อคนที่เหลืออยู่นี้’ ”
2พกษ. 19:15 และเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ประทับเหนือเหล่าเครูบ พระองค์แต่องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้าแห่งบรรดาราชอาณาจักรของแผ่นดินโลก พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
2พกษ. 19:20 แล้วอิสยาห์บุตรอามอสได้ใช้คนไปเฝ้าเฮเซคียาห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าเรื่องเซนนาเคอริบ พระราชาแห่งอัสซีเรียแล้ว’
2พกษ. 20:2 แล้วเฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า
2พกษ. 20:5 “จงกลับไปบอกเฮเซคียาห์ผู้นำประชากรของเราว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้า ตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูสิ เราจะรักษาเจ้า ในวันที่สาม เจ้าจะขึ้นไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์
1พศด. 17:25 เพราะข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสำแดงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า พระองค์จะทรงสร้างราชวงศ์ให้ เพราะฉะนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จึงสามารถอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระองค์
2พศด. 6:19 แต่ขอพระองค์สนพระทัยในคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และในคำวิงวอนของเขา ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงร้องและคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
2พศด. 6:20 เพื่อพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดูพระนิเวศนี้ ทั้งวันและคืน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ตรัสว่าจะตั้งพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น เพื่อพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะอธิษฐานต่อสถานที่นี้
2พศด. 6:21 และขอพระองค์ทรงสดับคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานต่อสถานที่นี้ ขอพระองค์เองทรงสดับจากที่ประทับของพระองค์คือฟ้าสวรรค์ และเมื่อพระองค์ทรงสดับแล้ว ก็ขอทรงอภัย
2พศด. 6:24 “ถ้าอิสราเอลประชากรของพระองค์พ่ายแพ้ต่อศัตรู เพราะได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วพวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ อธิษฐานและขอพระเมตตาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในพระนิเวศนี้
2พศด. 6:26 “เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดอยู่ และไม่มีฝน เพราะเขาทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ แล้วเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหันกลับจากบาปของเขา เมื่อพระองค์ทรงลงโทษพวกเขา
2พศด. 6:29 แล้วหากคนหนึ่งคนใด หรืออิสราเอลประชากรของพระองค์ทั้งหมดที่ตระหนักในภัยพิบัติและความทุกข์ จะอธิษฐานหรือวิงวอนประการใด โดยกางมือของเขาสู่พระนิเวศนี้
2พศด. 6:32 “ยิ่งกว่านั้นอีก เกี่ยวกับคนต่างด้าว ผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ เขามาจากแดนไกล เนื่องจากพระนามยิ่งใหญ่ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานต่อพระนิเวศนี้
2พศด. 6:34 “ถ้าประชากรของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรูของเขา โดยทางใดๆ ที่พระองค์ทรงใช้เขาออกไปก็ตาม และเขาทั้งหลายได้อธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อเมืองนี้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และตรงต่อพระนิเวศที่ข้าพระองค์ได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์
2พศด. 6:35 แล้วขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐาน และคำวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์ และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา
2พศด. 6:38 ถ้าเขาทั้งหลายกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจของเขา ในแผ่นดินที่เขาไปเป็นเชลย ที่ซึ่งพวกเขาถูกจับไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์ตรงต่อแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย คือเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้ และพระนิเวศซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์
2พศด. 6:39 ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาจากฟ้าสวรรค์ อันเป็นที่ประทับของพระองค์และขอประทานความยุติธรรมแก่พวกเขา และขอทรงอภัยให้ประชากรของพระองค์ผู้ทำบาปต่อพระองค์
2พศด. 6:40 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้ขอพระเนตรของพระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่และขอพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานแห่งสถานที่นี้
2พศด. 7:1 เมื่อซาโลมอนทรงจบคำอธิษฐานแล้ว ไฟลงมาจากฟ้าสวรรค์ไหม้เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชา และพระสิริของพระยาห์เวห์ก็เต็มพระนิเวศ
2พศด. 7:12 แล้วพระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนในเวลากลางคืนและตรัสกับพระองค์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า และได้เลือกสถานที่นี้สำหรับเราให้เป็นนิเวศแห่งเครื่องสัตวบูชา
2พศด. 7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยนามของเรานั้นจะถ่อมตัวลง อธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา ทั้งหันเสียจากทางชั่วของพวกเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย
2พศด. 7:15 และบัดนี้ตาของเราจะลืมอยู่และหูของเราจะฟังคำอธิษฐานซึ่งเขาทั้งหลายอธิษฐาน ณ สถานที่นี้
2พศด. 30:18 เพราะว่าในคนจำนวนมากมายนั้น มีคนมากซึ่งมาจากเอฟราอิม มนัสเสห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุนที่ยังไม่ได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็รับประทานปัสกาแม้ขัดต่อข้อบัญญัติ ดังนั้นเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานเผื่อพวกเขาว่า “ขอพระยาห์เวห์ผู้ประเสริฐทรงให้อภัยแก่ทุกๆ คน
2พศด. 30:27 แล้วบรรดาปุโรหิตและคนเลวีลุกขึ้นอวยพรประชาชน เสียงของพวกเขาก็ไปถึงพระกรรณ และคำอธิษฐานก็ไปยังที่ประทับบริสุทธิ์ของพระองค์ในฟ้าสวรรค์
2พศด. 32:20 แล้วเฮเซคียาห์พระราชาและอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะบุตรอามอสอธิษฐานเพื่อเรื่องนี้และร้องทูลต่อฟ้าสวรรค์
2พศด. 32:24 ครั้งหนึ่งเฮเซคียาห์ประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และเฮเซคียาห์อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์และทูลต่อพระองค์ แล้วพระองค์ทรงตอบและประทานหมายสำคัญอย่างหนึ่งแก่เฮเซคียาห์
2พศด. 33:13 พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าและพระเจ้าทรงฟังคำวิงวอน และคำอ้อนวอนของพระองค์ และทรงให้พระองค์กลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในราชอาณาจักรของพระองค์อีก แล้วมนัสเสห์ทรงทราบว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า
2พศด. 33:18 ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของมนัสเสห์ คำอธิษฐานของพระองค์ต่อพระเจ้า และถ้อยคำของผู้ทำนายผู้ทูลพระองค์ในพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ดูสิ มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของกษัตริย์แห่งอิสราเอล
2พศด. 33:19 ทั้งคำอธิษฐานของพระองค์ เรื่องที่พระเจ้าทรงฟังคำวิงวอนของพระองค์ ความบาปและความไม่ซื่อสัตย์ทั้งหมดของพระองค์ บรรดาสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงใช้สร้างปูชนียสถานสูง และใช้ตั้งพวกพระอาเช-ราห์และรูปเคารพ ก่อนที่พระองค์จะถ่อมพระทัยลงนั้น ดูสิ มีบันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารของผู้ทำนาย
อสร. 6:10 เพื่อเขาจะได้ถวายเครื่องสัตวบูชา อันเป็นที่พอพระทัยแก่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ และให้อธิษฐานเพื่อชีวิตของกษัตริย์และโอรสของพระองค์
อสร. 10:1 ขณะเอสราอธิษฐานและสารภาพร้องไห้ทิ้งตัวลงต่อหน้าพระนิเวศของพระเจ้า มีชุมนุมชนหมู่ใหญ่มากทั้งชายหญิงและเด็ก จากอิสราเอลประชุมต่อหน้าท่าน เพราะประชาชนร้องไห้อย่างขมขื่น
นหม. 1:4 เมื่อข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ข้าพเจ้าก็นั่งลงร้องไห้โศกเศร้าอยู่หลายวัน และได้อดอาหารและอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์
นหม. 1:6 ขอพระองค์เงี่ยพระกรรณฟัง และลืมพระเนตรดู เพื่อจะทรงฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่ง ณ บัดนี้ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อประชาชนอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์สารภาพบาปของประชาชนอิสราเอล ซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปต่อพระองค์ ทั้งข้าพระองค์กับตระกูลของข้าพระองค์ได้ทำบาปแล้ว
นหม. 1:11 ข้าแต่องค์เจ้านาย โปรดเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำอธิษฐานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ปีติยินดีที่จะยำเกรงพระนามของพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้ และขอให้ได้รับความกรุณาจากพระราชา” ขณะนั้น ข้าพเจ้าเป็นพนักงานเชิญถ้วยเสวยของพระราชา
นหม. 2:4 แล้วพระราชาตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าต้องการอะไร?” ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์
นหม. 11:17 และมัทธานิยาห์ บุตรมีคาห์ ผู้เป็นบุตรศับดี ผู้เป็นบุตรอาสาฟ ผู้เป็นหัวหน้าในการเริ่มต้นการขอบพระคุณในการอธิษฐาน และบัคบูคิยาห์เป็นที่สองในหมู่พี่น้องของเขา และอับดาบุตรชัมมุวา ผู้เป็นบุตรกาลาล ผู้เป็นบุตรเยดูธูน
โยบ 16:17 แม้ว่าในมือของข้าไม่มีความทารุณเลย และคำอธิษฐานของข้าก็บริสุทธิ์
โยบ 21:15 องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืออะไร ที่เราจะต้องปรนนิบัติพระองค์? ถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร?’
โยบ 22:27 ท่านจะอธิษฐานต่อพระองค์ และพระองค์จะทรงฟังท่าน และท่านจะแก้บนของท่าน
โยบ 24:12 คนกำลังจะตายคร่ำครวญออกมาจากเมือง และคนบาดเจ็บร้องขอความช่วยเหลือ แต่พระเจ้ามิได้สนพระทัยคำอธิษฐานของเขา
โยบ 33:26 คนนั้นจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า และพระองค์พอพระทัยเขา เขาเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความชื่นบาน แล้วพระองค์ทรงให้มนุษย์กลับสู่สภาพความชอบธรรม
โยบ 42:8 เพราะฉะนั้นจงเอาวัวผู้ 7 ตัว และแกะผู้ 7 ตัว ไปหาโยบผู้รับใช้ของเรา และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวสำหรับพวกเจ้า แล้วโยบผู้รับใช้ของเราจะอธิษฐานเพื่อพวกเจ้า เพราะเราจะรับคำอธิษฐานของเขา เราจะไม่ทำแก่เจ้าตามความโง่ของเจ้า เพราะเจ้าทั้งหลายไม่ได้พูดถึงเราอย่างถูกต้อง เหมือนโยบผู้รับใช้ของเราได้พูด”
โยบ 42:9 ฝ่ายเอลีฟัสชาวเทมาน และบิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอาเมห์ ได้ไปทำตามที่พระยาห์เวห์ตรัสสั่ง และพระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของโยบ
โยบ 42:10 และพระยาห์เวห์ทรงให้โยบกลับสู่สภาพดี เมื่อท่านอธิษฐานเผื่อสหายของท่าน และพระยาห์เวห์ประทานให้โยบมีมากเป็นสองเท่าของที่มีอยู่ก่อน
สดด. 4:1 ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงให้ข้าพระองค์เป็นฝ่ายชอบธรรม ขอทรงตอบเมื่อข้าพระองค์ร้องทูล เมื่อข้าพระองค์จนตรอก ขอประทานช่องทาง ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์ และขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์
สดด. 5:2 ข้าแต่พระเจ้า พระมหากษัตริย์ของข้าพระองค์ ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
สดด. 5:3 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐานแด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่
สดด. 6:9 พระยาห์เวห์ได้ทรงสดับคำวิงวอนของข้า พระยาห์เวห์ทรงรับคำอธิษฐานของข้า
สดด. 17:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสดับคำร้องขอความยุติธรรม ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ซึ่งมาจากริมฝีปากที่ไม่หลอกลวง
สดด. 32:6 เพราะฉะนั้น ขอให้ผู้จงรักภักดีทุกคนอธิษฐานต่อพระองค์ ในเวลาที่จะพบพระองค์ได้ ในเวลาน้ำท่วมมาก น้ำจะไม่มาถึงคนนั้น
สดด. 35:13 ส่วนข้าพระองค์ เมื่อพวกเขาป่วย ข้าพระองค์สวมผ้ากระสอบ ข้าพระองค์ถ่อมตัวลงด้วยการอดอาหาร ข้าพระองค์ซบหน้าลงที่อก อธิษฐาน
สดด. 39:12 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำวิงวอนของข้าพระองค์ ขออย่าทรงเฉยเมยต่อน้ำตาของข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์เป็นคนต่างด้าวสำหรับพระองค์ เป็นคนร่อนเร่ อย่างบรรพบุรุษทั้งสิ้นของข้าพระองค์
สดด. 42:8 กลางวัน พระยาห์เวห์ทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์ และกลางคืน เพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
สดด. 54:2 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์
สดด. 55:1 ข้าแต่พระเจ้า ขอเงี่ยพระกรรณฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขออย่าซ่อนพระองค์จากคำวิงวอนของข้าพระองค์
สดด. 61:1 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์ ขอทรงสดับคำอธิษฐานของข้าพระองค์
สดด. 65:2 เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐาน มนุษย์ทั้งสิ้นจะมาหาพระองค์
สดด. 66:19 แต่พระเจ้าทรงสดับแน่ทีเดียว พระองค์ใส่พระทัยในเสียงอธิษฐานของข้าพเจ้า
สดด. 66:20 สาธุการแด่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธคำอธิษฐานของข้าพเจ้า และไม่ทรงเอาความรักมั่นคงของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า
สดด. 69:13 ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ในเวลาอันเหมาะสม โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์ ขอทรงตอบข้าพระองค์โดยการช่วยกู้ที่แน่นอนของพระองค์
สดด. 72:15 ขอให้ท่านมีชีวิตยืนยาว และได้ทองคำแห่งเชบา ขอให้มีผู้อธิษฐานเผื่อท่านเสมอ และให้มีผู้อวยพรท่านวันยังค่ำ
สดด. 72:20 คำอธิษฐานของดาวิด บุตรชายของเจสซี จบเท่านี้
สดด. 80:4 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ พระองค์จะกริ้วต่อคำอธิษฐานของประชากรของพระองค์นานสักเท่าใด?
สดด. 84:8 ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าจอมทัพ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณเถิด ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ เส-ลาห์
สดด. 86:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังและขอทรงตอบข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ยากจนและขัดสน
สดด. 86:6 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระโสตฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงวิงวอนของข้าพระองค์
สดด. 88:2 ขอคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณฟังเสียงร้องทูลของข้าพระองค์
สดด. 88:13 ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์ทูลขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ ในเวลาเช้าคำอธิษฐานของข้าพระองค์ขึ้นไปเฝ้าพระองค์
สดด. 90:1 ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงเป็นที่พักพิงของข้าพระองค์ทั้งหลาย ทุกชั่วชาติพันธุ์
สดด. 102:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอให้เสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์
สดด. 102:17 พระองค์จะสนพระทัยในคำอธิษฐานของคนสิ้นเนื้อประดาตัว และจะไม่ทรงดูหมิ่นคำอธิษฐานของพวกเขา
สดด. 109:4 พวกเขาตอบแทนความรักของข้าพระองค์โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อข้าพระองค์ ส่วนข้าพระองค์ได้แต่อธิษฐาน
สดด. 109:7 เมื่อเขาถูกตัดสินความ ก็ให้ปรากฏว่าเขาผิด และให้คำอธิษฐานของเขากลายเป็นบาป
สดด. 122:6 จงอธิษฐานขอสันติภาพให้เยรูซาเล็มว่า “ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ
สดด. 141:2 ขอให้คำอธิษฐานของข้าพระองค์เป็นเหมือนเครื่องหอมเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และการที่ข้าพระองค์ชูมือขึ้นอธิษฐานเป็นเหมือนของถวายเวลาเย็น
สดด. 141:5 ขอให้คนชอบธรรมตี และตักเตือนข้าพระองค์ด้วยความเมตตา น้ำมันดีอย่างนั้น อย่าให้ศีรษะข้าพระองค์ปฏิเสธเลย เพราะข้าพระองค์ยังอธิษฐานต่อสู้ความอธรรมของเขาทั้งหลายอยู่
สดด. 142:1 ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ ด้วยเสียงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอพระกรุณาจากพระยาห์เวห์ ด้วยเสียงของข้าพเจ้า
สดด. 143:1 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอเงี่ยพระกรรณสดับคำวิงวอนของข้าพระองค์ตามความซื่อสัตย์ของพระองค์ ขอทรงตอบข้าพระองค์ตามความชอบธรรมของพระองค์
สดด. 143:8 ขอทรงให้ข้าพระองค์ได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป เพราะข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์
สภษ. 15:8 พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังเครื่องบูชาของคนอธรรม แต่ทรงปีติยินดีในคำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรม
สภษ. 15:29 พระยาห์เวห์ทรงอยู่ห่างไกลจากคนอธรรม แต่ทรงได้ยินคำอธิษฐานของคนชอบธรรม
สภษ. 28:9 ถ้าผู้ใดไม่ฟังธรรมบัญญัติ แม้คำอธิษฐานของเขาก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียน
อสย. 1:15 เมื่อพวกเจ้ากางมือของเจ้าออก เราจะปิดตาของเราจากเจ้า แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมาย เราก็จะไม่ฟัง ด้วยมือของพวกเจ้าเต็มด้วยเลือด
อสย. 16:12 และเมื่อโมอับเข้าเฝ้าและเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่ปูชนียสถานสูง และเขาเข้ามาอธิษฐานในสถานศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
อสย. 26:16 ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในยามทุกข์ใจ พวกเขาแสวงหาพระองค์ เขาทั้งหลายหลั่งคำอธิษฐานออกมา เมื่อพระองค์ทรงตีสอนพวกเขา
อสย. 37:4 บางทีพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงสดับถ้อยคำของรับชาเคห์ ผู้ซึ่งพระราชาของอัสซีเรียเจ้านายของเขาส่งมาเยาะเย้ยพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และพระองค์จะทรงกำราบบรรดาถ้อยคำซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงสดับแล้ว เพราะฉะนั้น ขอท่านถวายคำอธิษฐานเพื่อพวกที่เหลือของคนเหลืออยู่’ ”
อสย. 37:15 และเฮเซคียาห์ทรงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า
อสย. 37:21 แล้วอิสยาห์บุตรอามอสส่งข่าวถึงเฮเซคียาห์ทูลว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘เพราะเจ้าได้อธิษฐานต่อเราถึงเรื่องเซนนาเคอริบพระราชาของอัสซีเรีย’
อสย. 38:2 แล้วเฮเซคียาห์หันพระพักตร์เข้าข้างฝา และทรงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า
อสย. 38:5 “จงไปและบอกเฮเซคียาห์ว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าของดาวิด บรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า เราเห็นน้ำตาของเจ้า นี่ แน่ะ เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าอีกสิบห้าปี
อสย. 44:17 และไม้ที่เหลือนั้นเขาทำเป็นรูปพระรูปหนึ่ง คือเป็นรูปเคารพของเขา เขากราบลงต่อรูปนั้นและนมัสการมัน และอธิษฐานต่อรูปนั้นและกล่าวว่า “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ เพราะพระองค์เป็นพระของข้าพระองค์”
อสย. 45:20 “จงรวมตัว และเข้ามา จงมาใกล้พร้อมกัน พวกเจ้าผู้รอดตายของบรรดาประชาชาติ เขาทั้งหลายไม่มีความรู้ คือพวกเขาที่ยกรูปเคารพไม้ของเขาไป และอธิษฐานขอต่อพระ ที่ช่วยเขาให้รอดไม่ได้
อสย. 56:7 เราจะนำพวกเขามายังภูเขาบริสุทธิ์ของเรา และทำให้เขาชื่นบานอยู่ในนิเวศอธิษฐานของเรา เครื่องบูชาเผาทั้งตัวของเขาและเครื่องบูชาของเขา จะเป็นที่โปรดปรานบนแท่นบูชาของเรา เพราะนิเวศของเรานั้นเขาจะเรียกว่านิเวศอธิษฐาน สำหรับทุกชนชาติ”
ยรม. 7:16 “ส่วนเจ้า อย่าอธิษฐานเพื่อประชากรนี้ อย่าร้องขอหรืออธิษฐานเพื่อเขา และอย่าวิงวอนต่อเรา เพราะเราจะไม่ฟังเจ้า
ยรม. 11:14 “เพราะฉะนั้น เจ้าเองอย่าอธิษฐานเพื่อชนชาตินี้ อย่าวิงวอนหรืออธิษฐานเพื่อพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อเขาร้องต่อเราในเวลาลำบาก
ยรม. 14:11 พระยาห์เวห์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าอธิษฐานเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขของชนชาตินี้เลย
ยรม. 29:7 แต่จงแสวงหาสวัสดิภาพของเมือง ซึ่งเราได้กวาดเจ้าให้ไปเป็นเชลยอยู่นั้น และจงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์เพื่อเมืองนั้น เพราะว่าเจ้าจะพบสวัสดิภาพของเจ้าในสวัสดิภาพของเมืองนั้น’
ยรม. 29:12 แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า
ยรม. 32:16 “หลังจากข้าพเจ้ามอบโฉนดของการซื้อให้แก่บารุคบุตรเนริยาห์แล้ว ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า
ยรม. 37:3 กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงใช้เยฮูคัลบุตรเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรมาอาเสยาห์ให้ไปหาเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ กล่าวว่า “ขออธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเพื่อเรา”
ยรม. 42:2 และพูดกับเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า “โปรดฟังคำร้องของพวกเรา และอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเพื่อพวกเราที่เหลืออยู่ทั้งหมดนี้ เพราะเราเหลืออยู่น้อยคนจากเดิมที่มีคนมากมาย ตามที่ท่านเห็นอยู่กับตาแล้ว
ยรม. 42:4 เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะกล่าวแก่พวกเขาว่า “ข้าพเจ้าได้ยินแล้ว นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน ตามคำขอร้องของพวกท่าน และพระยาห์เวห์ทรงตอบท่านประการใด ข้าพเจ้าจะบอกแก่ท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดไว้จากท่านเลย”
ยรม. 42:20 พวกท่านได้ทำผิดต่อชีวิตของท่านเอง เพราะท่านได้ใช้ข้าพเจ้าไปหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านว่า ‘ขออธิษฐานเพื่อเราต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสประการใด ขอบอกแก่เรา และเราจะทำตาม’
พคค. 3:8 แม้เมื่อข้าพเจ้าร้องทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์มิทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
พคค. 3:44 พระองค์คลุมพระองค์ด้วยเมฆ เพื่อว่าการอธิษฐานของพวกข้าพระองค์จะไม่ทะลุไปถึงพระองค์ได้
ดนล. 6:10 เมื่อดาเนียลทราบว่ากษัตริย์ลงพระนามในหนังสือสำคัญนั้นแล้ว ท่านก็กลับบ้าน ซึ่งมีหน้าต่างห้องชั้นบนเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และท่านก็คุกเข่าลงวันละ 3 ครั้ง อธิษฐานและขอบพระคุณพระเจ้าของท่านอย่างที่เคยทำเสมอ
ดนล. 6:11 เมื่อพวกที่สมรู้ร่วมคิดพากันมาพบดาเนียลกำลังอธิษฐานและวิงวอนต่อพระเจ้าของท่าน
ดนล. 9:3 แล้วข้าพเจ้าก็หันหน้าไปหาพระเจ้าองค์เจ้านาย แสวงหาด้วยการอธิษฐานและการวิงวอน ทั้งด้วยการอดอาหาร และนุ่งห่มผ้ากระสอบและนั่งบนขี้เถ้า
ดนล. 9:4 ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และสารภาพว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งและน่าเกรงขาม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์
ดนล. 9:17 ฉะนั้น ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ทรงสดับคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์และคำวิงวอนของเขา ข้าแต่องค์เจ้านาย เพื่อเห็นแก่พระองค์ ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหนือสถานนมัสการของพระองค์ซึ่งร้างเปล่านั้น
ดนล. 9:20 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูด อธิษฐานสารภาพบาปของข้าพเจ้าและบาปของอิสราเอลประชากรของข้าพเจ้า และเสนอคำวิงวอนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าเพื่อภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์
ดนล. 9:21 ขณะเมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำอธิษฐาน ชายที่ชื่อกาเบรียล ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นในนิมิตครั้งแรกนั้น ได้บินอย่างเร็วมาใกล้ข้าพเจ้า ในเวลาถวายเครื่องบูชาตอนเย็น
ยนา. 2:1 แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จากภายในท้องปลานั้นว่า
ยนา. 2:7 เมื่อชีวิตของข้าพระองค์กำลังจะหลุดลอย ข้าพระองค์ระลึกถึงพระยาห์เวห์ และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์
ยนา. 4:2 ท่านจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? นี่เป็นเหตุให้ข้าพระองค์รีบหนีไปเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และพระกรุณา กริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ
ฮบก. 3:1 คำอธิษฐานของฮาบากุกผู้เผยพระวจนะ ตามทำนองชิกิโอโนท
มธ. 5:44 แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน
มธ. 6:5 “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลาและตามมุมถนนต่างๆ เพื่อจะให้คนทั้งปวงเห็น เราบอกความจริงกับพวกท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว
มธ. 6:6 ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดาของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน
มธ. 6:7 “แต่เมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนบรรดาคนต่างชาติเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะโปรดฟัง
มธ. 6:9 เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ
มธ. 14:23 และเมื่อทรงให้ฝูงชนไปหมดแล้ว พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เวลาก็ดึกมาก พระองค์ยังประทับที่นั่นแต่ลำพัง
มธ. 19:13 เวลานั้นมีคนพาเด็กเล็กๆ มาเฝ้าพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์วางพระหัตถ์และทรงอธิษฐาน แต่พวกสาวกต่อว่าคนที่พาพวกเขามา
มธ. 21:13 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’ ”
มธ. 21:22 ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้”
มธ. 23:14 วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น
มธ. 24:20 จงอธิษฐานขอให้วันที่ท่านหนีนั้นจะไม่เกิดในฤดูหนาวหรือวันสะบาโต
มธ. 26:36 แล้วพระเยซูทรงพาสาวกทั้งหลายมายังที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าเกทเสมนี แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราไปอธิษฐานที่โน่น”
มธ. 26:39 แล้วทรงดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มธ. 26:41 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อจะไม่ถูกทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”
มธ. 26:42 พระองค์จึงเสด็จไปทรงอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สอง “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มธ. 26:44 จึงเสด็จไปจากพวกเขา เสด็จไปทรงอธิษฐานเป็นครั้งที่สาม ทูลขอเหมือนคราวก่อนๆ อีก
มก. 1:35 ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น
มก. 6:46 หลังจากพระองค์ทรงลาพวกเขาแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานที่นั่น
มก. 9:29 พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ด้วยการอธิษฐานเท่านั้น”
มก. 11:17 พระองค์ตรัสสอนว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่านิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลาย’ แต่ท่านทั้งหลายได้ทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร”
มก. 11:24 เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น
มก. 11:25 และเมื่อพวกท่านยืนอธิษฐานอยู่ ถ้าพวกท่านมีเรื่องกับใคร จงยกโทษให้คนนั้น เพื่อว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกโทษความผิดของพวกท่านด้วย”
มก. 12:40 พวกเขายึดบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักยิ่งขึ้น”
มก. 13:18 จงอธิษฐานขอเพื่อสิ่งนี้จะไม่เกิดในฤดูหนาว
มก. 13:33 จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าวันนั้นหรือเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่
มก. 14:32 แล้วพระเยซูกับเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เราไปอธิษฐาน”
มก. 14:35 แล้วเสด็จต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบพระกายลงที่ดินอธิษฐานว่าถ้าเป็นได้ขอให้ชั่วโมงนี้ผ่านพ้นไปจากพระองค์
มก. 14:38 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะไม่ถูกการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”
มก. 14:39 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง ตรัสถ้อยคำเหมือนครั้งก่อน
ลก. 1:10 ส่วนประชาชนอธิษฐานอยู่ข้างนอกในระหว่างที่เผาเครื่องหอมนั้น
ลก. 1:13 แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น
ลก. 2:37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางไม่เคยออกไปจากบริเวณพระวิหารเลย แต่อยู่นมัสการถืออดอาหารและอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน
ลก. 3:21 เมื่อคนทั้งหลายรับบัพติศมา พระเยซูก็ทรงรับบัพติศมาด้วย ขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก
ลก. 5:16 แต่พระองค์มักจะเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
ลก. 5:33 เขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “ศิษย์ของยอห์นถืออดอาหารกันและอธิษฐานบ่อยๆ และศิษย์ของพวกฟาริสีก็ทำเหมือนกัน แต่ศิษย์ของท่านทั้งกินทั้งดื่ม”
ลก. 6:12 ในเวลาต่อมาพระเยซูเสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน
ลก. 6:28 จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเผื่อคนที่ทำร้ายท่าน
ลก. 9:18 ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ตามลำพังโดยมีสาวกทั้งหลายอยู่ใกล้ๆ พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?”
ลก. 9:28 หลังจากพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นได้ประมาณแปดวัน พระองค์ทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน
ลก. 9:29 ขณะพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ พระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวจนพร่าตา
ลก. 11:1 พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน เหมือนที่ยอห์นสอนพวกศิษย์ของท่าน”
ลก. 11:2 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “เมื่ออธิษฐาน จงกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่
ลก. 18:1 พระเยซูตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง เพื่อสอนว่าเขาทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอและไม่อ่อนระอาใจ
ลก. 18:10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นฟาริสีและคนหนึ่งเป็นคนเก็บภาษี
ลก. 18:11 คนที่เป็นฟาริสีนั้นยืนอยู่คนเดียวอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่นที่เป็นคนฉ้อโกง เป็นคนอธรรม และเป็นคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้
ลก. 19:46 และตรัสกับพวกเขาว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเราควรจะเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’ ”
ลก. 20:47 พวกเขายึดบ้านของหญิงม่ายและแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักยิ่งขึ้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น