บทเทศนา : อย่าอายในพระคริสต์ (ลูกา 9:26 ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์)
คำนำ
พี่น้องที่รักทั้งหลาย ในโลกที่มืดมิดนี้ เราถูกเรียกให้เป็นแสงสว่าง เป็นเกลือ เป็นพยานถึงความจริงและความรักของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง ความกลัว ความกังวล ความละอายใจ ทำให้เรากลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่กล้าประกาศความจริง ไม่กล้าแสดงออกว่าเราเป็นสาวกของพระเยซู พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ จึงเป็นทั้งคำเตือนและกำลังใจ ให้เรากล้าหาญ มั่นคง ไม่ละทิ้งความเชื่อ และไม่ละอายที่จะยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์
เนื้อหา
ข้อพระคัมภีร์จากลูกา 9:26 กล่าวว่า “ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์” ถ้อยคำเหล่านี้ชัดเจน และท้าทายความเชื่อของเรา
- แสดงให้เห็นว่าการปฏิเสธ(อาย)พระองค์ต่อหน้ามนุษย์นั้นร้ายแรงเพียงใด
- ความอาย ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความอับอายจากการทำผิด แต่หมายถึงความรู้สึก ไม่มั่นใจ ไม่กล้า ไม่กล้าเปิดเผย ไม่กล้ายอมรับ เพราะกลัวผลที่จะตามมา เช่น กลัวการถูกเยาะเย้ย กลัวการถูกกีดกัน กลัวการสูญเสียผลประโยชน์ หรือแม้กระทั่งกลัวความรุนแรง
- พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นความรอด เป็นความหวัง เป็นทางเดียวที่นำไปสู่พระเจ้า
- จงระลึกไว้เสมอว่าความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัวใดๆ และพระองค์จะประทานพลังและกำลังให้เราก้าวผ่านทุกการทดลอง
- พระรัศมี เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะเสด็จมาด้วยฤทธานุภาพและพระสิริ ทุกคนจะได้เห็น ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
สรุป
พี่น้องที่รัก พระวจนะข้อนี้สอนเราว่า การเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การไปโบสถ์ หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่คือการยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด และดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ แม้ในยามที่ยากลำบาก แม้จะถูกเยาะเย้ย ถูกกีดกัน หรือถูกข่มเหง
อย่าให้ความกลัว ความละอายใจ หรือสิ่งใดมาขัดขวางเราไม่ให้ประกาศความจริงและความรักของพระเจ้า จงยึดมั่นในความเชื่อ กล้าหาญ และเป็นพยานถึงความรักของพระองค์ เพราะเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะไม่ทรงละอายที่จะยอมรับเราต่อพระพักตร์พระบิดา
คำเชื้อเชิญ
วันนี้ ขอให้เรามาตรวจสอบชีวิตของเรา ว่าเรามีความอายในพระคริสต์หรือไม่ เรากลัวที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงหรือไม่ เรากลัวที่จะแบ่งปันความเชื่อของเรากับผู้อื่นหรือไม่ ถ้าใช่ ขอให้เรากลับใจ และขอพึ่งพาฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เรากล้าหาญที่จะเป็นพยานถึงความรักของพระองค์ แม้ในยามที่ยากลำบาก ก็ไม่ปฏิเสธ ไม่เลิกเชื่อพระองค์
ขอพระเจ้าทรงอวยพรพี่น้องทุกท่าน
1คร. 9:14 ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสั่งไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐ
************
บทเทศนา: ดวงตาที่แลเห็นแผ่นดินของพระเจ้า
ลูกา 9:27 "แต่เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่พบความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า”
พี่น้องที่รัก วันนี้เรามาชุมนุมกันด้วยใจปรารถนาที่จะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า ใจที่โหยหาการเปลี่ยนแปลง ปาฏิหาริย์ และชีวิตใหม่
ในพระธรรมลูกาบทที่ 9 พระเยซูได้ทรงประกาศอย่างชัดเจนว่า มีผู้คนในยุคนั้น ที่จะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าก่อนที่จะตาย คำตรัสนี้ย่อมทำให้เหล่าสาวกตื่นเต้นและมีความหวัง เพราะแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ใช่เพียงสถานที่บนโลกนี้ แต่หมายถึงการครอบครองของพระเจ้า การปกครองที่เต็มไปด้วยสันติสุข ความรัก และความชอบธรรม
คำถาม คือ แล้วเราที่อยู่ที่นี่วันนี้ล่ะ เราจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าได้อย่างไร?
1. เปิดดวงตาแห่งศรัทธา(ความเชื่อ)
แผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่สถานที่ที่เราจะไปถึงด้วยเท้า แต่เราต้องเปิดดวงตาแห่งศรัทธา เพื่อมองเห็นการครอบครองของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน มองเห็นการอภัยบาป การรักษาโรค การอัศจรรย์ต่าง ๆ และสันติสุข ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา
2. ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง
การมองเห็นแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าเราจะนั่งรอคอยเฉยๆ แต่เราต้องลุกขึ้นมา และดำเนินชีวิตในความเชื่อฟังต่อพระบัญญัติของพระองค์ เมื่อเราเชื่อฟังและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เรากำลังมีส่วนร่วมสร้างแผ่นดินของพระเจ้าขึ้นในชีวิตของเราเอง
3. เป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า
แผ่นดินของพระเจ้าจะขยายออกไปได้ เมื่อเราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศข่าวประเสริฐ แบ่งปันความรักของพระเจ้าให้กับผู้อื่น และชักชวนให้พวกเขามาพบกับพระเยซูคริสต์
พี่น้องที่รัก แม้เราอาจจะไม่ได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าในรูปแบบทางกายภาพเหมือนกับสาวกในสมัยนั้น แต่เรามีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับการครอบครองของพระเจ้าในชีวิตเรา ตั้งแต่วันนี้
(มธ. 17:1 เมื่อล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องของยากอบขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง
มธ. 17:2 แล้วพระองค์ก็ทรงได้รับการเปลี่ยนแปลงไปต่อหน้าพวกเขา พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง
มธ. 17:3 ในทันใดนั้นโมเสสและเอลียาห์ก็มาปรากฏแก่พวกสาวก และพูดคุยกับพระองค์
มธ. 17:4 เปโตรทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ดีจริงๆ ที่เราอยู่กันที่นี่ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพระองค์จะทำเพิงสามหลังที่นี่ สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง”
มธ. 17:5 เปโตรทูลยังไม่ทันขาดคำก็เกิดมีเมฆสุกใสมาปกคลุมพวกเขาไว้ แล้วมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก จงเชื่อฟังท่านเถิด”
มธ. 17:6 พวกสาวกเมื่อได้ยินก็ซบหน้าลงและกลัวยิ่งนัก
มธ. 17:7 พระเยซูจึงเสด็จมาใกล้และทรงสัมผัสตัวพวกเขา ตรัสว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย”
มธ. 17:8 เมื่อพวกเขาเงยหน้าดูก็ไม่เห็นใคร เห็นแต่พระเยซูองค์เดียว)จงเปิดดวงตาแห่งศรัทธา ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง และเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า เพื่อที่เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินของพระองค์ทั้งในวันนี้และตลอดไป อาเมน