วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2567

อย่าอายในพระคริสต์ เห็นแผ่นดินของพระเจ้า

 บทเทศนา : อย่าอายในพระคริสต์ (ลูกา 9:26 ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์)

คำนำ
พี่น้องที่รักทั้งหลาย ในโลกที่มืดมิดนี้ เราถูกเรียกให้เป็นแสงสว่าง เป็นเกลือ เป็นพยานถึงความจริงและความรักของพระเจ้า แต่บ่อยครั้ง ความกลัว ความกังวล ความละอายใจ ทำให้เรากลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่กล้าประกาศความจริง ไม่กล้าแสดงออกว่าเราเป็นสาวกของพระเยซู พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ จึงเป็นทั้งคำเตือนและกำลังใจ ให้เรากล้าหาญ มั่นคง ไม่ละทิ้งความเชื่อ และไม่ละอายที่จะยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์
เนื้อหา
ข้อพระคัมภีร์จากลูกา 9:26 กล่าวว่า “ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์” ถ้อยคำเหล่านี้ชัดเจน และท้าทายความเชื่อของเรา
  • แสดงให้เห็นว่าการปฏิเสธ(อาย)พระองค์ต่อหน้ามนุษย์นั้นร้ายแรงเพียงใด
  • ความอาย ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงความอับอายจากการทำผิด แต่หมายถึงความรู้สึก ไม่มั่นใจ ไม่กล้า ไม่กล้าเปิดเผย ไม่กล้ายอมรับ เพราะกลัวผลที่จะตามมา เช่น กลัวการถูกเยาะเย้ย กลัวการถูกกีดกัน กลัวการสูญเสียผลประโยชน์ หรือแม้กระทั่งกลัวความรุนแรง
  • พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นความรอด เป็นความหวัง เป็นทางเดียวที่นำไปสู่พระเจ้า
  • จงระลึกไว้เสมอว่าความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าความกลัวใดๆ และพระองค์จะประทานพลังและกำลังให้เราก้าวผ่านทุกการทดลอง
  • พระรัศมี เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะเสด็จมาด้วยฤทธานุภาพและพระสิริ ทุกคนจะได้เห็น ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
สรุป
พี่น้องที่รัก พระวจนะข้อนี้สอนเราว่า การเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การไปโบสถ์ หรือทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่คือการยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอด และดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ แม้ในยามที่ยากลำบาก แม้จะถูกเยาะเย้ย ถูกกีดกัน หรือถูกข่มเหง
อย่าให้ความกลัว ความละอายใจ หรือสิ่งใดมาขัดขวางเราไม่ให้ประกาศความจริงและความรักของพระเจ้า จงยึดมั่นในความเชื่อ กล้าหาญ และเป็นพยานถึงความรักของพระองค์ เพราะเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะไม่ทรงละอายที่จะยอมรับเราต่อพระพักตร์พระบิดา
คำเชื้อเชิญ
วันนี้ ขอให้เรามาตรวจสอบชีวิตของเรา ว่าเรามีความอายในพระคริสต์หรือไม่ เรากลัวที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงหรือไม่ เรากลัวที่จะแบ่งปันความเชื่อของเรากับผู้อื่นหรือไม่ ถ้าใช่ ขอให้เรากลับใจ และขอพึ่งพาฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เรากล้าหาญที่จะเป็นพยานถึงความรักของพระองค์ แม้ในยามที่ยากลำบาก ก็ไม่ปฏิเสธ ไม่เลิกเชื่อพระองค์
ขอพระเจ้าทรงอวยพรพี่น้องทุกท่าน

1คร. 9:14 ทำ​นอง​เดียว​กัน องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ได้​ทรง​สั่ง​ไว้​ว่า คน​ที่​ประ​กาศ​ข่าว​ประ​เสริฐ​ควร​ได้​รับ​การ​เลี้ยง​ชีพ​ด้วย​ข่าว​ประ​เสริฐ

************
บทเทศนา: ดวงตาที่แลเห็นแผ่นดินของพระเจ้า
ลูกา 9:27 "แต่เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่พบความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า”
พี่น้องที่รัก วันนี้เรามาชุมนุมกันด้วยใจปรารถนาที่จะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า ใจที่โหยหาการเปลี่ยนแปลง ปาฏิหาริย์ และชีวิตใหม่
ในพระธรรมลูกาบทที่ 9 พระเยซูได้ทรงประกาศอย่างชัดเจนว่า มีผู้คนในยุคนั้น ที่จะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าก่อนที่จะตาย คำตรัสนี้ย่อมทำให้เหล่าสาวกตื่นเต้นและมีความหวัง เพราะแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ใช่เพียงสถานที่บนโลกนี้ แต่หมายถึงการครอบครองของพระเจ้า การปกครองที่เต็มไปด้วยสันติสุข ความรัก และความชอบธรรม
คำถาม คือ แล้วเราที่อยู่ที่นี่วันนี้ล่ะ เราจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าได้อย่างไร?
1. เปิดดวงตาแห่งศรัทธา(ความเชื่อ)
แผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่สถานที่ที่เราจะไปถึงด้วยเท้า แต่เราต้องเปิดดวงตาแห่งศรัทธา เพื่อมองเห็นการครอบครองของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน มองเห็นการอภัยบาป การรักษาโรค การอัศจรรย์ต่าง ๆ และสันติสุข ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา 
2. ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง
การมองเห็นแผ่นดินของพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าเราจะนั่งรอคอยเฉยๆ แต่เราต้องลุกขึ้นมา และดำเนินชีวิตในความเชื่อฟังต่อพระบัญญัติของพระองค์ เมื่อเราเชื่อฟังและทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เรากำลังมีส่วนร่วมสร้างแผ่นดินของพระเจ้าขึ้นในชีวิตของเราเอง
3. เป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า
แผ่นดินของพระเจ้าจะขยายออกไปได้ เมื่อเราร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการประกาศข่าวประเสริฐ แบ่งปันความรักของพระเจ้าให้กับผู้อื่น และชักชวนให้พวกเขามาพบกับพระเยซูคริสต์
พี่น้องที่รัก แม้เราอาจจะไม่ได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้าในรูปแบบทางกายภาพเหมือนกับสาวกในสมัยนั้น แต่เรามีโอกาสที่จะได้สัมผัสกับการครอบครองของพระเจ้าในชีวิตเรา ตั้งแต่วันนี้

(มธ. 17:1 เมื่อ​ล่วง​ไป​ได้​หก​วัน​แล้ว พระ​เยซู​ทรง​พา​เป​โตร ยา​กอบ และ​ยอห์น​น้อง​ของ​ยา​กอบ​ขึ้น​ภูเขา​สูง​แต่​ลำ​พัง
มธ. 17:2 แล้ว​พระ​องค์​ก็​ทรง​ได้​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลง​ไป​ต่อหน้า​พวก​เขา พระ​พักตร์​ของ​พระ​องค์​ทอ​แสง​เหมือน​แสง​อา​ทิตย์ ฉลอง​พระ​องค์​ก็​ขาว​ผ่อง​ดุจ​แสง​สว่าง มธ. 17:3 ใน​ทันใด​นั้น​โม​เสส​และ​เอลี​ยาห์​ก็​มา​ปรา​กฏ​แก่​พวก​สา​วก และ​พูด​คุย​กับ​พระ​องค์ มธ. 17:4 เป​โตร​ทูล​พระ​เยซู​ว่า “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ดี​จริงๆ ที่​เรา​อยู่​กัน​ที่​นี่ ถ้า​พระ​องค์​มี​พระ​ประ​สงค์ ข้า​พระ​องค์​จะ​ทำ​เพิง​สาม​หลัง​ที่​นี่ สำ​หรับ​พระ​องค์​หลัง​หนึ่ง สำ​หรับ​โม​เสส​หลัง​หนึ่ง สำ​หรับ​เอลี​ยาห์​หลัง​หนึ่ง” มธ. 17:5 เป​โตร​ทูล​ยัง​ไม่​ทัน​ขาด​คำ​ก็​เกิด​มี​เมฆสุก​ใส​มา​ปก​คลุม​พวก​เขา​ไว้ แล้ว​มี​พระ​สุร​เสียง​ออก​มา​จาก​เมฆ​นั้น​ว่า “ท่าน​ผู้​นี้​เป็น​บุตร​ที่​รักของ​เรา เรา​ชอบ​ใจ​ท่าน​มาก จง​เชื่อ​ฟัง​ท่าน​เถิด” มธ. 17:6 พวก​สา​วก​เมื่อ​ได้​ยิน​ก็​ซบ​หน้า​ลง​และ​กลัว​ยิ่ง​นัก มธ. 17:7 พระ​เยซู​จึง​เสด็จ​มา​ใกล้​และ​ทรง​สัม​ผัส​ตัว​พวก​เขา ตรัส​ว่า “จง​ลุก​ขึ้น​เถิด อย่า​กลัว​เลย” มธ. 17:8 เมื่อ​พวก​เขา​เงย​หน้า​ดู​ก็​ไม่​เห็น​ใคร เห็น​แต่​พระ​เยซู​องค์​เดียว)

จงเปิดดวงตาแห่งศรัทธา ดำเนินชีวิตในความเชื่อฟัง และเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า เพื่อที่เราจะได้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินของพระองค์ทั้งในวันนี้และตลอดไป อาเมน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น